คงพูดได้เต็มปากว่า The Flash คือหนังแห่งเป็นความหวังให้กับเหล่าแฟนๆ ดีซี ในปีนี้ที่หลายต่อหลายคนรอคอยเพราะจากกระแสจากต่างประเทศในทิศทางบวก รวมถึงเป็นงานที่จะมาล้างกระดานหนังเรื่องอื่นๆ ที่สร้างออกมาอาจจะยังไม่ได้ดีเท่าที่ควรจะเป็น เดอะ แฟลช จึงเปรียบเสมือนความหวังใหม่ของดีซีที่จะเป็นตัวเปิดทางสู่งานในอนาคต และจากการได้ชมในรอบพิเศษ แบบ 2 เวอร์ชันอย่าง Cinemacon (เวอร์ชันที่ยังไม่สมบูรณ์เรื่องภาพ ซีจีและซาวน์ประกอบที่อาจจะมีการเปลี่ยน) และเวอร์ชันที่จะฉายปกติ อาจจะบอกได้ว่านี้คือจุดสตาร์ทที่ทำได้ค่อนข้างดีสำหรับการเดินทางครั้งใหม่ของจักรวาลฮีโร่ DC

‘The Flash’ ได้รับแรงบันดาลเนื้อหามาจากคอมมิค Flashpoint เมื่อแบร์รี อัลเลนใช้พลังวิเศษของเขาเดินทางย้อนเวลา เพื่อกลับไปแก้ไขอดีต แต่การที่เขาพยายามช่วยครอบครัวตัวเองกลับสร้างความเปลี่ยนแปลงให้อนาคตด้วย แบร์รีต้องติดกับเมื่อนายพลซ็อดหวนคืนมาทำลายล้างโลก และไม่มีซูเปอร์ฮีโร่คนใดมาช่วยเหลือ จนกระทั่งแบร์รีต้องเกลี้ยกล่อมให้แบทแมนจากอีกไทม์ไลน์ที่ปลดเกษียณไปแล้ว และช่วยเหลือชาวคริปโตเนียนที่ถูกขังเอาไว้... แม้ว่าจะไม่ใช่คนที่เขาตามหาสักเท่าไหร่ แต่เพื่อปกป้องโลกของเขาและหวนกลับไปหาอนาคตที่เขาคุ้นเคย แบร์รีเหลือเพียงความหวังเดียวคือการแข่งกับชีวิตของเขา แต่เขาจะยอมเสียสละมากพอเพื่อลบล้างทุกอย่างในจักรวาลหรือไม่?

ความรู้สึกหลังดู The Flash
“สนุกมากๆ” นี่คือคำที่หนังเรื่องนี้ตะโกนใส่หน้าเราคนดูตลอดเวลา เพราะมันเต็มไปด้วยความบ้าบอหลุดโลกขายขำได้แบบที่คนดูหัวเราะได้ตลอดเวลาที่หนังฉาย คนดูอาจจะได้เห็นเดอะแฟลชมานิดๆ หน่อยๆ กับการรวมทีมใน Justice League ที่รวมเหล่าฮีโร่ DC แต่เหมือนเป็นแค่ตัวเสริมความสนุก แต่พอเป็นหนังเดี่ยวของตัวเองแล้วเราจะได้เห็นถึงบุคลิก พลังและความสามารถที่เหลือล้นของฮีโร่ความเร็วสูงคนนี้แบบเต็มแม็ก เรื่องนี้จะผสมระหว่างแนวเดินทางข้ามเวลาย้อนอดีตกับการเดินทางข้ามมัลติเวิร์ส อาจจะไม่ได้โดดเด่นในเรื่องของมัลติเวิร์สแต่พูดถึงผลกระทบในระดับเดียวกัน
ทำเนื้อหาออกมาได้ดีกว่าเรื่องที่ผ่านๆ มา
สิ่งหนึ่งที่ฮีโร่ค่ายดีซียังติดปัญหามาตลอดคือหนังอาจจะตอบโจทย์ในแง่ความสนุก แต่ในด้านบทหลายต่อหลายเรื่องที่ผ่านมาค่อนข้างน่าผิดหวังเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับเรื่องนี้กลับทำออกมาได้ดีในระดับที่แฟนๆ คาดหวังกันพาร์ทความสนุกใส่เต็มไม่ให้แฟนๆ ต้องรีรอ แต่พอมาในส่วนของพาร์ทดราม่าก็ทำคนดูอินกับอดีตของฮีโร่ตัวนี้ที่ต้องพบเจอเหตุการณ์สะเทือนใจที่สำคัญคือเรารู้สึกว่าการกระทำของเดอะแฟลชในเรื่องนี้มันไม่น่ารำคาญ แม้จะเป็นการกระทำที่เอาแต่ใจตัวเองไปนิดแต่ดูไปเราก็เอาใจช่วยในภารกิจครั้งนี้ของเขา
ตอบโจทย์แฟนหนังดีซีในทุกยุค
แน่นอนว่าเรื่องมีของเด็ดของดีให้เห็นในตัวอย่างกันบ้างแล้วกับการเดินทางสู่อีกมัลติเวิร์ส ก็ทำให้เราได้พบเห็นฮีโร่อีกคนจากไทม์ไลน์อื่น เรียกว่าเป็นไฮไลต์ของเรื่องนี้เลยก็คือการกลับมาของแบทแมนระดับตำนานอย่าง ไมเคิล คีตัน นักแสดงคนแรกผู้รับบท แบทแมน ในปี 1989 ได้กลับมารับบทนี้อีกครั้งให้แฟนๆ หายคิดถึงและตื่นเต้นที่ได้เห็นเขาในบทบาทนี้อีกครั้ง รวมถึง เบน แอฟเฟล็ก ที่คาดว่าจะมาส่งท้ายบทบาทแบทแมนของเขาให้เรื่องนี้ นอกจากนี้ยังมีฮีโร่สาวคนใหม่อย่าง ซาช่า แคลล์ ที่รับบท ซูเปอร์เกิร์ล ที่มาโชว์พลังไม่ต่างจากซูเปอร์แมน เพิ่มดีกรีความเดือดในซีนแอ็กชันในเรื่องนี้ ขอแง้มว่ายังมีเซอร์ไพรส์ในเรื่องนี้ที่แฟนดีซีร้องว้าวอีกเยอะ เขาทำมาเอาใจแฟนดีซีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจริงๆ นะ
ซีนแอ็กชันผสมผสานระหว่างความแปลกใหม่กับสไตล์ แซ็ค สไนเดอร์ อย่างลงตัว
อีกส่วนที่น่าสนใจคือนี้คือหนังเปิดจักรวาลใหม่ฮีโร่ดีซี และอีกมุมคืองานส่งท้ายแฟรนไชส์ของผู้กำกับ แซ็ค สไนเดอร์ ผู้กำกับที่เริ่มสตาร์ทงานของดีซีมาเป็นคนแรกในยุคนี้ เรื่องนี้จึงมีการผสมงานภาพต่างๆในแบบของแซ็ค อยู่ให้เราเห็นกัน พร้อมทั้งใส่ลูกเล่นใหม่ๆ สไตล์ของตัวเองออกมาได้ดีแบบไม่คัดหูคัดตา รวมถึงฉากแอ็กชันซีนที่สวยมากๆ ทั้งศึกช่วงท้ายเรื่องกับการปะทะกันของกลุ่มฮีโร่และนายพลซ็อด วายร้ายหลักของเรื่องนี้ที่โชว์พลังการเต็มสูบ แต่ซีนที่ถูกใจที่สุดคงหนีไม่พ้น แบทแมนคีตัน โชว์บู๊ลุยกับผู้ร้าย เหมือนเราได้เห็นแบทแมนในวัยเด็กที่เคยดู สู่วัยชราแต่ยังคงไม่ทิ้งลายแถมดูโหดกว่าเก่าแม้จะผ่านเวลามานาน
เอซรา มิลเลอร์ คือคนที่เหมาะสมกับบทบาท เดอะแฟลช ที่สุด
ก่อนหน้านี้เราอาจจะได้เห็นข่าวไม่ดีในเรื่องพฤติกรรมตต่างๆ ของ เอซรา ที่ต้องมารับบทฮีโร่ คนนี้จนเกิดปัญหาหลายต่อหลายเรื่องที่ส่งผลถึงหนังเรื่องนี้ แต่พอเมื่อได้ชมหนังจริงๆ เราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคือคนที่เหมาะกับการรับบทนี้ที่สุดทั้งการแสดงเป็น แบร์รี สองคนที่เป็นคนละมัลติเวิร์สแบบต่างกันสุดขั้ว แบบที่แม้จะหน้าตาเหมือนกันเป๊ะ ทั้งคาแรคเตอร์ความคอมเมดีต่างๆ เอซรา ทำออกมาได้ดี แบบที่ยังหาใครมารับบทแทนในตอนนี้ได้ยากเอาเรื่องจริงๆ
แม้ภาพรวมจะดีแต่ยังไม่ถึงขั้น “ดีที่สุด”
ภาพรวมแม้จะไปในทิศทางที่ดี แต่ยังไม่ถึงขั้นว่าที่สุดสำหรับจักรวาลดีซีเคยทำมา ยังมีข้อติให้เห็นปะปาย จากการที่ได้ดูทั้งสองเวอร์ชัน สิ่งที่ยังทำออกมาได้ไม่น่าประทับใจคืองานภาพซีจีค่อนข้างลอยจนเห็นได้ชัด จากปกติดีซีจะขึ้นชื่อเรื่องงานด้านภาพจะค่อนข้างเนียบ แต่เรื่องนี้ค่อนข้างน่าเสียดายที่งานภาพกับเป็นช่องโหว่วใหญ่ๆ แบบเห็นได้ชัดที่สุดและมีให้เห็นหลายจุดอีกด้วย ด้านบทอาจจะมีจุดที่ไม่สมูทให้เห็นบ้างแต่ก็ค่อนข้างส่งผลต่อตัวละครในเรื่อง แบบที่คนดูจะรู้สึกได้ว่ายังไม่เต็มอิ่มกับบทในเรื่องนี้
ภาพรวมอาจจะยังไม่ถึงขั้นดีที่สุด แต่ต้องยอมรับว่า เดอะแฟลช มันเข้าขั้นสนุกและลงตัวที่สุดสำหรับหนังในจักรวาลฮีโร่ดีซีตอนนี้ ถือเป็นใบเบิกทางการเดินทางครั้งใหม่สำหรับโปรเจ็กต์หนังเรื่องอื่นๆ ที่จะตามมาในอนาคต และถ้าใครติดตามผลงานหนังดีซีมายาวนานเรื่องนี้เหมือนคำขอบคุณของค่ายเพื่อตอบแทนที่แฟนๆ ติดตามกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
The Flash เข้าฉายแล้ววันนี้
(มีฉากส่งท้ายที่เอาใจแฟนๆ ดีซี และฉากหลังเครดิตอีก 1 ฉาก)
(มีฉากส่งท้ายที่เอาใจแฟนๆ ดีซี และฉากหลังเครดิตอีก 1 ฉาก)