นี่คือศิลปินญี่ปุ่นที่แปะป้ายด้วยคำว่า
‘ถ้าซื่อสัตย์ในสิ่งที่ทำ
กำแพงภาษาก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป’
ผมได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาตั้งแต่ช่วงที่เกิดภาวะโรคระบาดโควิด-19 แล้วว่า ประเทศญี่ปุ่นมีวงดนตรีชื่อ YOASOBI ซาวนด์ค่อนข้างเจ๋งมากๆ ที่สำคัญวิถีการเล่าเรื่องของพวกเขาค่อนข้างน่าสนใจมากๆ เพราะเป็นการหยิบยกเรื่องราวความเป็นแฟนตาซีในโลกของการ์ตูนมาถ่ายทอดผ่านดนตรีเจป็อปและกำลังโด่งดังเป็นอย่างมากในช่วงเวลานั้น ในฐานะคนที่ฟังเพลงของพวกเขาครั้งแรกรู้สึกได้เลยว่าถูกชะตาและถูกจริตมากๆ เฝ้ารอการมาเยือนไทยว่าเมื่อไหร่กันที่วงนี้จะมาเหยียบที่ไทยและระเบิดพลังสนุกๆ ให้กับแฟนเพลงได้ดู จนกระทั่งช่วงปลายปีที่แล้วมีประกาศครั้งสำคัญของ YOASOBI ว่าพวกเขาจะมาทำการแสดงในประเทศไทยให้ทุกคนได้ดูกันสดๆ ตั้งแต่นั้นมาผมเตรียมใจและลุ้นมาตลอดว่าโชว์เต็มๆ ของพวกเขาจะเป็นอย่างไรจนกระทั่งได้เห็นด้วยตาตัวเองเมื่อค่ำวานนี้
รีวิวนี้จึงขอพาทุกคนไปสำรวจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในงานนี้กัน โดยขอเริ่มต้นที่สถานที่จัดงานกันก่อน ไบเทค บางนาปัจจุบันถูกปรับปรุงใหม่เพื่อรองรับการแสดงหลากหลายรูปแบบในอนาคต การยกระดับของฮอลล์ไบเทคครั้งนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ต่างกันออกไป ทั้งการเพิ่มจำนวนบัตรนั่งให้เหมือนกับโรงละครไปเลยกับการเซ็ตวิธีการยืนใหม่ในฮอลล์นี้ที่ปรากฏว่าพอเซ็ตแล้วมันดันมีปัญหาเรื่องซาวนด์ของโชว์เสียอย่างนั้น แต่โดยรวมบรรยากาศทั้งหมดก็พอทำให้เราอุ่นใจว่าวันนี้แฟนๆ พร้อมกระโดดและสนุกไปกับ YOASOBI แน่นอน
คอนเสิร์ตเริ่มต้นขึ้นตรงเวลาตามที่บัตรบอกไว้เป๊ะๆ คือ 20.00 น. อายาเซะ และ อิกูระ ปรากฏตัวขึ้นพร้อมไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ ทั้งสองระเบิดฟลอร์ทันทีด้วยเพลงเร็วสามเพลงแรก Seventeen, Shukufuku, UNDEAD ชนิดที่ไฟส่องกันตาแตกเลเซอร์ยิงกันทะลุจักรวาล ยิ่งซาวนด์ในฮอลล์ไม่ต้องพูดถึง นัวเนีย สนุกสนานกันถึงขีดสุด ชนิดที่ผมได้แต่อุทานในใจว่า ‘พี่เล่นปล่อยของกันตั้งแต่สามเพลงแรกเลยเหรอ’ จากนั้นเข้าสู่ช่วง MC แวะทักทายกับแฟนเพลงเล็กน้อยพร้อมกับอิกูระบอกแฟนเพลงทุกคนว่าดีใจมากๆ ที่ได้มาเล่นคอนเสิร์ตที่ประเทศไทยในครั้งนี้ ก่อนจะสานต่อความสนุกทันทีด้วยลิสต์เพลงชนิดที่ว่าวงไม่หยุดเล่นคนดูก็ไม่หยุดเต้นไม่หยุดโยกตามเช่นกัน Halzion, Suki Da, Mou Sukoshi Dake, Tabun, New Me, Monotone และ Yasashii Suisei ช่วงนี้สำหรับผมรู้สึกว่าเป็นการโชว์ที่วง YOASOBI เองได้ปล่อยพลังให้เราได้เห็นว่าการเป็นศิลปินคุณภาพและซื่อสัตย์ในสิ่งที่ทำมันเป็นอย่างไร ทุกเพลงถูกถ่ายทอดออกมาจากหัวใจและความตั้งใจที่พวกเขามี ทำให้เรารู้สึกเอ็นดูทุกประโยคที่ อิกูระ ร้องออกมา ยิ่งอายาเซะและวงแบ็คอัพที่คอยเติมพลังเชื้อเพลิงให้ตลอดโชว์มันยิ่งทำให้เราอยู่กับโชว์นี้ไปได้จนจบโดยไม่ติดขัดใดๆ เลย
หลังจากที่องก์สองของคอนเสิร์ตจบลง เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็พบว่าเราผ่านมา 10 เพลงหรือครึ่งทางของคอนเสิร์ตแล้วหรือ มันไวมากๆ แต่เป็นความไวที่ทุกคนเต็มใจที่สุดเพราะตลอดทางเมื่อได้รับคำขอบคุณและรอยยิ้มจากสมาชิกหลักทั้งสองของ YOASOBI แล้วทำให้แฟนเพลงมีแรงใจขึ้นมาทันที เอ้า! ลุยกันต่อ หลังจากที่จบช่วง MC ครั้งที่ 2 บรรดาเพลงได้แก่ Kaibutsu, Yuusha / The Brave, Ano Yume Wo Nazotte และ IDOL เพลงชาติของ YOASOBI ก็ได้ถูกบรรเลงขึ้นในเซ็ตนี้ ต้องบอกว่าเซ็ตนี้คือรวมความเดือดความฮิตของพวกเขาไว้เต็มสูบมากๆ ยิ่งการได้เห็นเพอร์ฟอร์มของเพลง IDOL สดๆ กับตาแล้วมันช่างทรงพลังมากๆ
เดินทางมาถึงช่วงท้ายของคอนเสิร์ต เข้าสู่ช่วง MC ครั้งสุดท้าย อิกูระ และ อายาเซะ ชวนแฟนเพลงคุยกันอีกครั้ง พวกเขากล่าวคำขอบคุณแก่แฟนเพลงอยู่บ่อยครั้งและร่วมกันถ่ายคลิปสนุกๆ ก่อนที่จะลุยกันต่อในเพลงเซ็ตลิสต์สุดท้ายพร้อมอังกอร์อีกสองเพลงที่นำทัพมาโดย HEARTBEAT (ผมชอบเพลงนี้ที่สุดในช่วงนี้เพราะทางวงได้เปิดเนื้อเพลงให้แฟนเพลงร้องตามไปด้วยกัน น่ารักมากๆ), Gunjo, Butai ni Tatte และ Yoru ni Kakeru ก่อนที่จะกล่าวอำลาและถ่ายรูปร่วมกัน ทิ้งไว้ซึ่งความประทับใจให้กับแฟนเพลงทุกคนได้อิ่มเอมใจไปอีกนาน
โดยรวมคอนเสิร์ตนี้ของ YOASOBI สำหรับผมเองที่อาจจะไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้ของวง แต่ก็สัมผัสได้ถึงมวลพลังแห่งความสุขที่แฟนเพลงได้รับ รวมถึงตัววงเองด้วยที่ส่งพลังมาให้กับพวกเราคนดูอย่างไม่หยุดยั้ง เสน่ห์ของอิกูระก็เต็มเปี่ยม ความเท่ของอายาเซะก็เต็มที่ มันสนุกมากๆ แม้จะมีการหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปกันบ้างประปรายแต่โดยรวมผู้ชมทุกคนก็ตั้งใจดูคอนเสิร์ตนี้กันมากๆ แท่งไฟโบกสะบัดสวยงาม ผมอิ่มใจมากที่ได้มาคอนเสิร์ตนี้ จะขอติอยู่ 2-3 อย่าง เริ่มตั้งแต่ระบบการจัดการที่อาจจะดูงงๆ เล็กน้อยทั้งในโซนของบูธขายของ หรือจะเป็นบรรยากาศของซาวนด์ในฮอลล์ไบเทค บางนา ที่ค่อนข้างอึดอัดพอสมควรทำให้อรรถรสในการโชว์เสียไปเล็กน้อยถึงปานกลางแต่รอดมาได้เพราะโชว์ของ YOASOBI จริงๆ เรื่องสุดท้ายที่จะติก็คือ ตอนวงพูด ผมเองที่ไม่เก่งภาษาญี่ปุ่นก็เกิดปัญหาเหมือนกันว่าไม่เข้าใจว่าวงพูดถึงอะไรอยู่ อยากอินร่วมด้วย แต่มันติดที่กำแพงภาษาตอนพูดเลย ถ้ามีล่ามให้ด้วยจะเยี่ยมมากๆ แต่ก็นั่นแหละครับ ประเทศอื่นก็ไม่มีเหมือนกัน ฉะนั้นไม่เป็นไรเข้าใจได้ กำแพงภาษาไม่ใช่ปัญหาหลัก แต่ปัญหาคือผมแค่ฟังไม่ออกเท่านั้นเอง น่าเสียดาย
ท้ายที่สุดศิลปินญี่ปุ่นยุคหลังๆ เวลาพวกเขาสื่อสารอะไรออกมาเป็นเสียงเพลง พวกเขาทำได้ออกมาดีเสมอ เหมือนเป็นเครื่องหมายการค้าไปแล้วว่า คุณจะได้ดูโชว์ดีๆ แบบดนตรีและร้องเพียวๆ จากศิลปินประเทศนี้ Yoasobi ทำให้เห็นแล้วว่า
ดนตรีมันไม่มีกำแพง ไม่มีข้อจำกัดอะไรอีกแล้ว
อยากทำอะไรก็ทำ อยากเล่นอะไรก็เล่น
แค่ซื่อสัตย์กับมันก็พอแล้ว
หวังว่าจะได้ดูโชว์ของพวกคุณอีกในอนาคตอันใกล้นี้ ตกหลุมรักพวกคุณซะแล้ว ‘Yoasobi’
