เมื่อ 6-8 ปี ที่แล้ว แก๊งเด็กแมสคอม (สื่อสารมวลชน) ได้รวมตัวกันฟอร์มวงตามประสาเด็กวัยรุ่นที่รักในเสียงดนตรี ถึงคราวหนึ่งที่พวกเขาต้องตั้งชื่อให้กับวง พวกเขานึกถึงแสงอาทิตย์อันแสดงถึงความสดใสที่ดูสอดคล้องได้ดีกับอารมณ์ของวง เดิมทีพวกเขากะจะตั้งว่า The Sun แต่เมื่อนึกถึงว่าในแสงอาทิตย์นั้นมีอะไรบ้าง เพื่อความโดดเด่นมีเอกลักษณ์ และต้องขอบคุณคาบวิทยาศาสตร์ในชั้นเรียน แก๊งเด็กแมสคอมจึงได้ชื่อวงว่า Vitamin D from The Sun ในที่สุด
Vitamin D from The Sun ประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมด 6 คน ได้แก่ เทพ เทพพิทักษ์ (ร้องนำ), พี ณัฐวิชช์ (ทรัมเป็ต), ซัง วีรภัทร (กีตาร์), โฟล์ค ณัฐพนธ์ (กีตาร์), ก้อง ญาณภฤศ (เบส) และ ต้นยักษ์ วรเดช (กลอง) เป็นวงดนตรีที่ขอเรียกตัวเองว่าเป็นอัลเทอร์เนทีฟป๊อปจากค่ายสนามหลวงมิวสิก ในเครือ GMM GRAMMY โดยก่อนหน้านี้หย่อน Extended Play (EP) ในชื่อ Dad-D ตอบโจทย์กับชื่อวงและคอนเซปต์ทีแรกของความเป็นเซิร์ฟป๊อป (Surf Pop) เพลงอารมณ์ดีที่เหมาะกับฟังอยู่ริมหาดในหน้าร้อน ล่าสุดมานี้ทางวงได้กลับมาเจิดจ้าอีกครั้งกับเพลง ‘ฝันไป’ และ ‘ถ้าเธอไม่รู้’ พร้อมกับกลิ่นอายเพลงที่มีความเป็นโซลและฟังก์
Spacebar VIBE ได้มีโอกาสพูดคุยกับ Vitamin D from The Sun เกี่ยวกับการเติบโตของวง ความกดดัน เป้าหมาย และแนวทางดนตรีของวง มารับแดดพร้อมๆ กันได้เลย!
ชาวแก๊งมารวมตัวกันได้ยังไง
เทพ: เมื่อก่อนเด็กๆ เขาก็จะฟอร์มวงกันครับ ปีหนึ่ง ปีสอง เขาจะมีวงประจำรุ่น แต่พอเป็นรุ่นเรา รุ่น 58 มันเหมือนก็ไม่มี ไม่เจอ แล้วพอคุณต้นยักษ์เป็นอารมณ์แบบแมวมอง หาผู้ที่มีความสามารถพิเศษด้านดนตรี
ต้นยักษ์: ตอนนั้นแบบมีความแบบอยากเล่นดนตรีก่อนครับ เราตีกลองด้วย เราเลยแบบ เฮ้ย อยากมีวงกับเขาบ้าง เลยลองหาเพื่อน เจอใครก็ชวนไป กลายเป็นเอกลักษณ์ของวงไปเลย

ตอนแรกมีภาพเป้าหมายร่วมกันเลยไหม
VDFTS: มันเป็นสเต็ปๆ ไปอ่ะครับ ตอนแรกเราฟอร์มวงเพื่อเล่นมิวสิกเฟสแค่นั้น มันคืองานดนตรีที่เหมาะที่สุดในมหาลัยเชียงใหม่ และตอนนั้นเราก็ได้เล่น สำเร็จแล้วนะ หลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า เราจะมองเห็นอะไรต่อ เราก็มองเป็นสเต็ปเล็กๆ มาตลอด
ความยากของเด็กแมสคอมเล่นดนตรี มันกดดันไหม
โฟล์ก: ก็กดดันนะ นิดหน่อย ผมรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้คือมันมีทางเลือกเนาะ มันมีวงที่แบบทำวงสตูดิโอ หรือว่าอุปกรณ์การทำดนตรีไม่ได้แพงแล้ว คือการสร้างซาวด์ที่น่าสนใจขึ้นมาแล้วมันถูกรับฟัง มันถูกเอาเป็นความบันเทิงของคนได้มันก็ไม่ได้ยาก ในแง่ของผู้บริโภค เราก็ฟังเพลงที่หลากหลาย บางทีเรารู้สึกว่าการหาที่ทางของตัวเองมันก็ยากเหมือนกัน เพราะเราก็ไม่ได้มีสเต็ปเหมือนเมื่อก่อนแล้ว มันอยู่ที่การค้นหาสิ่งที่ควรจะเป็นของตัวเองด้วยที่ยาก
พี: ผมก็มีความกดดันระดับนึงเลย ด้วยการที่เราเล่นเครื่องเป่า แล้วคนเล่นเครื่องเป่าส่วนใหญ่จบดนตรีหมดเลยก็เลยกดดันที่ว่าเครื่องเป่าเวลาซ้อมมันค่อนข้างเสียงดัง มันก็เลยแบบ พอไม่ได้เรียนดนตรี มันอาจไม่มีห้องซ้อมส่วนตัว เลยมีความซ้อมยาก เพราะคนสอนไม่ได้เยอะ
เทพ: กดดันเหมือนกันไปตามอายุของการเติบโตทางการทำงานด้านนี้ ตอนปี 1 ความกดดันแล้วเราก็อยู่แค่ เราจะออดิชันงานๆ นี้ผ่านไหม พอตอนนี้เราก็ต้องเข้าสู่สนามการตลาด อุตสาหกรรมจริงๆแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าถ้าคนที่เขาเรียนดนตรีเขาก็จะมีภาษีที่ดีกว่า อาจจะเป็นคอนเนกชันที่ดีกว่า แต่สำหรับเราตอนนั้น เทพมองว่าจริงๆ แล้วเราก็มีเอกลักษณ์ของเราอยู่ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ซีเรียสถึงขั้น โห กดดันแบบทำอะไรไม่ได้เลย ทุกครั้งที่เรามีโอกาสที่ทำความรู้จักคนฟัง เราก็จะแสดงความเป็นตัวของพวกเรา ที่คนที่เรียนดนตรีอาจไม่มีตรงนี้ก็ได้ หรือความเป็นตัวตนของพวกเราออกไป ให้แฮปปี้สุด

ซัง: จริงๆ ถามว่ากดดันไหม ก็มีความกดดันเล็กๆ ตอนนี้นะครับ ก่อนหน้านี้เราจะรู้สึกว่าพอเรามาทำงานจริงๆ แล้วเราต้องผลักดันตัวเองมากกว่านี้ จากเดิมต้องฝึกซ้อม แต่ถ้าเป็นช่วงนี้ ผมรู้สึกว่าเราอิงจากความสนุกละกันครับ เราเล่นแล้วเรารู้สึกเอนจอยกับมัน ไม่ได้กดดันตัวเองจนแบบว่ากลายเป็นว่าผลิตงานหรือสร้างสรรค์อะไรไม่ได้เลย อย่างที่เทพบอก เราก็มีเอกลักษณ์อะไรของเราเอง ก็อาจจะนำเสนอตรงนี้มากขึ้น
ต้นยักษ์: ถ้าเป็นความกดดันกังวลในช่วงแรก เป็นเรื่องของเพลงครับ เพราะว่าแนวเพลงเรา เราไม่แน่ใจเลยว่าแนวเพลงเราจะเข้าถึงคนได้เหมือนเพลงอื่นๆ ไหม มันจะเข้ามาในตลาด แล้วจะเป็นยังไง เราไม่รู้เลย เพราะเราเหมือนมีแค่ฐานแฟนคลับที่เหมือนเป็นแฟนๆ จากคณะเดียวกัน มหาลัยเดียวกันที่ตามมาตั้งแต่แรกก็จะรู้ว่า เอ้ย สไตล์วงนี้จะเป็นแบบนี้ แต่พอเราเข้าอุตสาหกรรมจริงๆ แล้ว เราโนไอเดียเลย ในช่วงแรกเลยกดดันอยู่ มันจะคนฟังเพิ่มขึ้นรึเปล่า เราจะทำได้ไหม มีคนชอบไหม
ก้อง: ตอนนี้ก็เล็กน้อย มีแบบพอดีให้แบบว่าเราไม่หยุดพัฒนา ที่ผ่านมามันก็มีแบบอย่างน้อย ด้วยความที่เราไม่ได้จบสายตรงดนตรี มันก็รู้สึกเหมือนคนไทยไปอยู่ต่างประเทศ ต้องไปเรียนภาษาอังกฤษ เรารู้สึกว่าพอเข้าอุตสาหกรรมนี้ ผมก็ต้องปรับพื้นฐานด้านภาษาอังกฤษ เหมือนปรับพื้นฐานด้านดนตรีให้มันทัน เวลาทำงานกับคนอื่นมันจะได้รู้เรื่อง ฟีลๆ นั้น พอมันผ่านไปได้ ถ้ากดดันคงเป็นเรื่องงานครีเอทีฟละกันครับ หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรมาก
อยากให้เป็นเพลงตัวเองเป็นเพลงตลาดขนาดนั้นไหม
โฟล์ก: เรารู้สึกว่าเราอยากใช้ภาษาที่มันเล่าเรื่องเข้าใจง่ายด้วยนะ เพียงแต่ว่าตัวผัสสะของการฟัง คือเรื่องซาวด์ หรือ arrangement ของดนตรี เราก็อยากให้มันมีเอกลักษณ์ประมาณหนึ่ง มันอาจเป็นซาวด์ที่เขาไม่เคยได้ยิน หรือในเพลงอื่นๆ ในสมัยนี้ คือเราอยากได้ซาวด์แบบนั้น ภาพรวมของเพลง สุดท้ายเราก็อยากให้เข้าถึงคนวงกว้างเนาะ

Surf Pop ในทีแรกมีที่มายังไง
VDFTS: จริงๆ ปัจจุบันพูดรวมๆ เราเรียกว่าอัลเทอร์เนทีฟนะครับ ถ้ากลับไปดูผลงานชื้นเก่าๆ มาอยู่ค่ายกันใหม่ๆ มันจะมี EP หนึ่ง 4 เพลง เรียกว่า Dad-D ไอ้พวกนั้นจะมีความแบบ vibe ทะเล มีความทะเล ความใช้ซาวด์ที่มันมีความเซิร์ฟ เพียงแต่ว่าพอมาสองเพลงหลัง มันก็มีความโซล ฟังก์ขึ้นเนาะ แต่ว่าดนตรีมันก็จะมีเสียงซินธ์ที่อยู่แบ็คกราวด์ ก็ยังคงไว้ตั้งแต่ EP ที่แล้ว
ก้อง: ช่วงนั้นเราก็อินในไวบ์ริมชายหาด เราเลยอยากทำให้ได้ไวบ์นั้น ก็คงต้องมาทางเซิร์ฟแล้วล่ะ พอหลังๆ เราก็มีไอเดียมากกว่านั้นด้วยแหละ ไม่อยากใช้ไอเดียแค่ในบรรยากาศนี้ ก็มีทิศทางที่เรายังทำได้อีก เลยมาทำโซล ฟังก์ หรือเพลงฝันไป ผมก็แต่งไม่นาน เราก็หาช่วงเวลาที่เราจะเอาออกมา เราคิดว่าตอนที่ทำเป็นดราฟต์กลับไปฟังแล้วเรายังชอบอยู่ เราคิดว่าคงถึงเวลาแหละที่จะลองแนวนี้ แต่ว่าครอบคลุมสุดคืออัลเทอร์เนทีฟป๊อป
จากวันที่ฟอร์มวงจนถึงตอนนี้มันมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง
VDFTS: ถ้าเทียบกับตอนนี้ก็คงเพิ่มความจริงจังกันมากขึ้น เพราะมันเป็นเหมือนงานได้เลย ตอนที่เราทำตอน 2019 เราก็ทำประกวดส่งแล้วเราก็เอามาพัฒนาต่อมาเป็นเพลง มาปล่อย พอถึงตอนนี้ ในความจริงจังมันก็คงต่างกันแหละครับ ไม่ได้คิดตอนนั้นว่าค่อยๆ ทำเพลง ค่อยๆ ปล่อย คิดออกก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ทำแค่นั้นแหละครับ ตอนนี้มันมีกรอบเวลา ตัวชี้วัด เราก็เริ่มคิดว่าวงเรามีศักยภาพมากขึ้น ว่าจะไปทางไหน อยากเล่นเยอะเหมือนเดิม (หัวเราะ) กระหายเวทีมากขึ้น

แล้วโควิดเป็นยังไงบ้างเนี่ย
ตอนที่เราเซ็นกับค่ายน่ะครับ มันเป็นช่วงโควิด ตอนแรกเราคิดว่ามันไม่หนักมาก ระลอกแรกแล้วมันก็เบาลง หลังจากนั้นเราก็ประกวด GMM Audition หลังจากนั้นก็เซ็นสัญญากับค่าย ทำ EP Dad-D แต่พอช่วง EP Dad-D กำลังจะปล่อยครับ ตู้มเลย โควิดอีกระลอก ตั้งแต่ปล่อยเพลงไปเกือบๆ ปี กว่าจะมีโชว์แรก
ความรู้สึกตอนนั้นเป็นยังไงครับ
มันมีช่วงที่โควิดหนักประมาณนึงครับ มันก็จะมีงานของลิโด้แบงค็อกมิวสิกซิตี้ ตอนนั้นเรายังใช้วิธีการอัด Live Session ส่งไป แล้วไปทำให้คนอินเทอร์แอ็คทีฟเอา คือใช้ออนไลน์ ช่วงครึ่งปีแรกหลังจากปล่อยเพลง EP Dad-D ไป หลังจากนั้นอีกสักพักหนึ่ง ถึงจะมีงานเล่น
ต้นยักษ์: จำได้ว่าช่วงนั้นก็บ่นๆ อยู่ว่าอยากเล่นเวทีจริงๆ ว่ะ จำบรรยากาศตอนนั้นได้อยู่ เพื่อนก็มีความอยากเจอคนเหมือนกัน แต่ทำเท่าที่ทำได้ครับ อดทนกันมาเรื่อยๆ

วงดนตรีไอดอล?
ชอบ Tom Misch ถ้าเป็นกีตาร์ ซาวด์รวมๆ คงเป็น Jungle, Parcel ที่เราฟังแล้วเหมือนได้เรฟของซาวด์ ได้ไอเดียในการทำเพลง
ต้นยักษ์: Bombay (Bicycle Club) มั้ง
VDFTS: ไม่ถึงขั้นนั้นมั้ง (หัวเราะ)
จะมีอัลบั้มเร็วๆ นี้ไหม
อาจจะอีกสักปีนึง รอเก็บอีกชุดนึง และอาจจะต้องมีวางโครงการกันไว้ เพราะตอนนี้เพิ่งปล่อย 2 ซิงเกิลไปปีนี้ มันต้องหาคอนเซปต์ให้มันแน่นอนขึ้น ตอนนี้เหมือนเราทำเพลงเก็บเรื่อยๆ
มีไอเดียในการทำเพลงอะไรที่อยากทำไหม
เทพ: ของเทพอยากเห็นวงทำเพลงแนวที่มัน แนวรถแห่ไรงี้ (หัวเราะ) มันมันส์ดี อาจเบลนด์กันได้ง่าย ทาร์เก็ตมันแมสไปเลย เป็นทดลองไปเลยครับ ถ้าตัววงได้ทำอะไรงี้จริงน่าจะสนุก ให้มันเป็นดนตรีที่เรากำลังฝึกฝน กับดนตรีรถแห่อ่ะนะ
ซัง: อยากทำให้มันร็อกมากขึ้น แต่ไม่ได้ทิ้งแนวทางตัวเอง
เทพ: แต่ปีหนึ่งเราเล่นร็อกนะ เล่นไปทั่วเลย มีทรัมเป็ตเล่นร็อก มั่วมากเลย (หัวเราะ) ถ้าทดลองก็อาจจะกลายเป็นตอนที่เราเล่นปีหนึ่ง ทุกครั้งที่เราซ้อมเราก็เคยเล่นเพลงเก่าๆ ความปลดปล่อย แหกปาก นี่อาจเป็นแนวทางที่ซังเขาอยากให้มีเป็นเพลงร็อก แต่อาจไม่ร็อกที่รู้สึกถึงว่าเป็นร็อก ให้มันมีกลิ่นความร็อก อาจต้องเปลี่ยนชื่อวงกันละ เป็นวิตามินรวม (หัวเราะ)

ตอนนี้เป้าหมายของวงคืออะไร
เป็นศิลปินแห่งชาติครับ (หัวเราะ) ล้อเล่นๆ อันนั้นสูงจัด ไม่ใช่ทาร์เก็ตเราด้วย ถ้าระยะสั้นอยากมีงานเล่นบ่อยๆ อยากใช้อาชีพที่เลี้ยงดูได้ เป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กับเพื่อนๆ ได้ มันก็จะคู่กับเป็นที่รู้จัก มันก็เป็นเป้าหมายที่ประกอบๆ กัน การมีเพลงฮิต เพลงแมส อยากมีไปเล่นต่างประเทศบ้าง ตอนนี้มีอะไรโอกาสอะไรเราก็คว้าไปก่อน เรามองเป้าหมายเหมือนเกม มีเควสนึง แล้วเควสนึงไปเรื่อยๆ เราไม่รู้ว่าบอสมันคืออะไร
ต้นยักษ์: ตอนปล่อยเพลงเราก็รู้สึกดีนะ เพื่อนในคณะแบบแชร์กันทั้งคณะ เป็นความรู้สึกที่จดจำไปทั้งชีวิต เราคิดว่าเอ้ยเพลงเราดีจริงเหรอ ทำไมเพื่อนสนับสนุนขนาดนี้ หมื่นวิวนี่คือสุดๆ ละครับตอนนั้น
โฟล์ก: เล่นล่าสุดไป Guitar Mag Award รอบแรกเราได้รับเชิญไป หลังโควิดรอบแรก เราเห็น BNK48 เห็นมิลลิ เห็น Taitosmith ไปแสดง ก็รู้สึกว่าการได้เล่นเวทีนี้ที่เป็นแบบเวทีที่ีคนดนตรีเขาให้การยอมรับ เป็นรางวีลหนึ่งของชาวไทย ถ้าได้เล่นเวทีนั้นคงเป็นสเต็ปสำเร็จอีกสเต็ปนึง อย่างน้อยมันเป็นพ้อยต์นึงของชีวิตที่จะจดจำ ปีต่อมาก็ได้เล่นเฉยเลย เล่นให้ศิลปินหลายคนฟัง ซึ่งก็ไอดอลเราทั้งนั้นกีตาร์แบนด์ทั้งวงการ

อยากร่วมงานกับใครไหม
จริงๆ มีโปรดิวเซอร์คนหนึ่งที่เห็นเขามาสักพักละ รู้สึกว่าถ้าวันนึง ถ้าลองร่วมงานกับเขาก็น่าสนใจ มี กิจแจ๊ส วงโมโนโทน เราเห็นการสัมภาษณ์ของสิงโต นำโชค เนาะ แล้วพี่สิงโตเขาบอกว่าแกไม่มีอะไร แต่แกมีอะไรได้เพราะพี่กิจ แต่จริงๆ เรารู้แหละว่าพี่สิงโตก็มีเสน่ห์ของแก เลยรู้สึกว่าถ้าพี่กิจแจ๊สมาทำให้ จะดึงเสน่ห์ของพวกเราแบบไหนออกมาได้ หลังจากที่เราฟังสัมภาษณ์มา
อยากฝากอะไรให้แฟนเพลงครับ
ฝากผลงานล่าสุดครับ ปีนี้เราปล่อยเพลง 2 ซิงเกิลครับ ซิงเกิลแรก ฝันไป เป็นเพลงแรกที่เราเล่าเรื่องในมิติของความสัมพันธ์ มิติของคู่รัก ตัวเพลงมีความเปิดตีความได้หลายแบบ มันก็คือความสัมพันธ์ ความตั้งใจที่มีให้กับอีกคนหนึ่ง ก็เป็นเพลงแนวโซลที่เราพยายามฝึกฝนกัน เพลงที่ตามมาคือ ‘ถ้าเธอไม่รู้’ อาจจะมีจังหวะขึ้นมามากกว่าเพลง ‘ฝันไป’ เป็นเพลงความสัมพันธ์เหมือนกัน แต่อาจจะหมายถึงเรื่องของแพสชัน ความหวัง ความฝันได้ สามารถตีความอย่างงั้นได้เหมือนกัน เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่เราใช้นักร้องสองนักร้องนำ เป็นเพลงที่ก้องขึ้นมาร้องคู่กับเทพ คราวนี้ไม่ใช่ก้องร้องประสานละ ครั้งนี้ร้องสลับกันเลย เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เราเพิ่งทำกันครั้งแรก ยังไงก็ฝากสองเพลงนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยครับ ถ้าอยากฟังทุกเพลงของเรา ตั้งแต่ EP Dad-D มาจนถึงเพลงสองเพลงที่ปล่อยล่าสุด ทั้ง 6 เพลงนี้อยู่ในแชนแนลยูทูบของสนามหลวงมิวสิก และก็ฟังได้ทางสตีมมิงทุกช่องทางครับผม ถ้าอยากคุยกับพวกเรา ก็เฟสบุ๊ก ไอจี และ TikTok Vitamin D from The Sun
