พูดคุยกับวง Vitamin D from The Sun สนุกแบบชีวิตติดเควส ที่ยังไม่รู้ว่าบอสคือใคร

24 ก.ย. 2566 - 02:09

  • พูดคุยกับ Vitamin D from The Sun วงอัลเทอร์เนทีฟป๊อปน้องใหม่จากค่ายสนามหลวงมิวสิก กับชื่อวงสุดเก๋ที่สดใสไม่เหมือนใคร กลับมาอีกครั้งกับอีก 2 ซิงเกิล ‘ฝันไป’ และ ‘ถ้าเธอไม่รู้’

vitamin-d-from-the-sun-interview-SPACEBAR-Hero.jpg

เมื่อ 6-8 ปี ที่แล้ว แก๊งเด็กแมสคอม (สื่อสารมวลชน) ได้รวมตัวกันฟอร์มวงตามประสาเด็กวัยรุ่นที่รักในเสียงดนตรี ถึงคราวหนึ่งที่พวกเขาต้องตั้งชื่อให้กับวง พวกเขานึกถึงแสงอาทิตย์อันแสดงถึงความสดใสที่ดูสอดคล้องได้ดีกับอารมณ์ของวง เดิมทีพวกเขากะจะตั้งว่า The Sun แต่เมื่อนึกถึงว่าในแสงอาทิตย์นั้นมีอะไรบ้าง เพื่อความโดดเด่นมีเอกลักษณ์ และต้องขอบคุณคาบวิทยาศาสตร์ในชั้นเรียน แก๊งเด็กแมสคอมจึงได้ชื่อวงว่า Vitamin D from The Sun ในที่สุด 

Vitamin D from The Sun ประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมด 6 คน ได้แก่ เทพ เทพพิทักษ์ (ร้องนำ), พี ณัฐวิชช์ (ทรัมเป็ต), ซัง วีรภัทร (กีตาร์), โฟล์ค ณัฐพนธ์  (กีตาร์), ก้อง ญาณภฤศ (เบส) และ ต้นยักษ์ วรเดช (กลอง)  เป็นวงดนตรีที่ขอเรียกตัวเองว่าเป็นอัลเทอร์เนทีฟป๊อปจากค่ายสนามหลวงมิวสิก ในเครือ GMM GRAMMY โดยก่อนหน้านี้หย่อน Extended Play (EP) ในชื่อ Dad-D ตอบโจทย์กับชื่อวงและคอนเซปต์ทีแรกของความเป็นเซิร์ฟป๊อป (Surf Pop) เพลงอารมณ์ดีที่เหมาะกับฟังอยู่ริมหาดในหน้าร้อน ล่าสุดมานี้ทางวงได้กลับมาเจิดจ้าอีกครั้งกับเพลง ‘ฝันไป’ และ ‘ถ้าเธอไม่รู้’ พร้อมกับกลิ่นอายเพลงที่มีความเป็นโซลและฟังก์ 

Spacebar VIBE ได้มีโอกาสพูดคุยกับ Vitamin D from The Sun เกี่ยวกับการเติบโตของวง ความกดดัน เป้าหมาย และแนวทางดนตรีของวง มารับแดดพร้อมๆ กันได้เลย! 

ชาวแก๊งมารวมตัวกันได้ยังไง
เทพ: เมื่อก่อนเด็กๆ เขาก็จะฟอร์มวงกันครับ ปีหนึ่ง ปีสอง เขาจะมีวงประจำรุ่น แต่พอเป็นรุ่นเรา รุ่น 58 มันเหมือนก็ไม่มี ไม่เจอ แล้วพอคุณต้นยักษ์เป็นอารมณ์แบบแมวมอง หาผู้ที่มีความสามารถพิเศษด้านดนตรี   
ต้นยักษ์: ตอนนั้นแบบมีความแบบอยากเล่นดนตรีก่อนครับ เราตีกลองด้วย เราเลยแบบ เฮ้ย อยากมีวงกับเขาบ้าง เลยลองหาเพื่อน เจอใครก็ชวนไป กลายเป็นเอกลักษณ์ของวงไปเลย

vitamin-d-from-the-sun-interview-SPACEBAR-Photo01.jpg

ตอนแรกมีภาพเป้าหมายร่วมกันเลยไหม 
VDFTS: มันเป็นสเต็ปๆ ไปอ่ะครับ ตอนแรกเราฟอร์มวงเพื่อเล่นมิวสิกเฟสแค่นั้น มันคืองานดนตรีที่เหมาะที่สุดในมหาลัยเชียงใหม่ และตอนนั้นเราก็ได้เล่น สำเร็จแล้วนะ หลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า เราจะมองเห็นอะไรต่อ เราก็มองเป็นสเต็ปเล็กๆ มาตลอด   

ความยากของเด็กแมสคอมเล่นดนตรี มันกดดันไหม
โฟล์ก: ก็กดดันนะ นิดหน่อย ผมรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้คือมันมีทางเลือกเนาะ มันมีวงที่แบบทำวงสตูดิโอ หรือว่าอุปกรณ์การทำดนตรีไม่ได้แพงแล้ว คือการสร้างซาวด์ที่น่าสนใจขึ้นมาแล้วมันถูกรับฟัง มันถูกเอาเป็นความบันเทิงของคนได้มันก็ไม่ได้ยาก ในแง่ของผู้บริโภค เราก็ฟังเพลงที่หลากหลาย บางทีเรารู้สึกว่าการหาที่ทางของตัวเองมันก็ยากเหมือนกัน เพราะเราก็ไม่ได้มีสเต็ปเหมือนเมื่อก่อนแล้ว มันอยู่ที่การค้นหาสิ่งที่ควรจะเป็นของตัวเองด้วยที่ยาก   

พี: ผมก็มีความกดดันระดับนึงเลย ด้วยการที่เราเล่นเครื่องเป่า แล้วคนเล่นเครื่องเป่าส่วนใหญ่จบดนตรีหมดเลยก็เลยกดดันที่ว่าเครื่องเป่าเวลาซ้อมมันค่อนข้างเสียงดัง มันก็เลยแบบ พอไม่ได้เรียนดนตรี มันอาจไม่มีห้องซ้อมส่วนตัว เลยมีความซ้อมยาก เพราะคนสอนไม่ได้เยอะ  

เทพ: กดดันเหมือนกันไปตามอายุของการเติบโตทางการทำงานด้านนี้ ตอนปี 1 ความกดดันแล้วเราก็อยู่แค่ เราจะออดิชันงานๆ นี้ผ่านไหม พอตอนนี้เราก็ต้องเข้าสู่สนามการตลาด อุตสาหกรรมจริงๆแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าถ้าคนที่เขาเรียนดนตรีเขาก็จะมีภาษีที่ดีกว่า อาจจะเป็นคอนเนกชันที่ดีกว่า แต่สำหรับเราตอนนั้น เทพมองว่าจริงๆ แล้วเราก็มีเอกลักษณ์ของเราอยู่ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ซีเรียสถึงขั้น โห กดดันแบบทำอะไรไม่ได้เลย ทุกครั้งที่เรามีโอกาสที่ทำความรู้จักคนฟัง เราก็จะแสดงความเป็นตัวของพวกเรา ที่คนที่เรียนดนตรีอาจไม่มีตรงนี้ก็ได้ หรือความเป็นตัวตนของพวกเราออกไป ให้แฮปปี้สุด

vitamin-d-from-the-sun-interview-SPACEBAR-Photo02.jpg

ซัง:  จริงๆ ถามว่ากดดันไหม ก็มีความกดดันเล็กๆ ตอนนี้นะครับ ก่อนหน้านี้เราจะรู้สึกว่าพอเรามาทำงานจริงๆ แล้วเราต้องผลักดันตัวเองมากกว่านี้ จากเดิมต้องฝึกซ้อม แต่ถ้าเป็นช่วงนี้ ผมรู้สึกว่าเราอิงจากความสนุกละกันครับ เราเล่นแล้วเรารู้สึกเอนจอยกับมัน ไม่ได้กดดันตัวเองจนแบบว่ากลายเป็นว่าผลิตงานหรือสร้างสรรค์อะไรไม่ได้เลย อย่างที่เทพบอก เราก็มีเอกลักษณ์อะไรของเราเอง ก็อาจจะนำเสนอตรงนี้มากขึ้น   

ต้นยักษ์: ถ้าเป็นความกดดันกังวลในช่วงแรก เป็นเรื่องของเพลงครับ เพราะว่าแนวเพลงเรา เราไม่แน่ใจเลยว่าแนวเพลงเราจะเข้าถึงคนได้เหมือนเพลงอื่นๆ ไหม มันจะเข้ามาในตลาด แล้วจะเป็นยังไง เราไม่รู้เลย เพราะเราเหมือนมีแค่ฐานแฟนคลับที่เหมือนเป็นแฟนๆ จากคณะเดียวกัน มหาลัยเดียวกันที่ตามมาตั้งแต่แรกก็จะรู้ว่า เอ้ย สไตล์วงนี้จะเป็นแบบนี้ แต่พอเราเข้าอุตสาหกรรมจริงๆ แล้ว เราโนไอเดียเลย ในช่วงแรกเลยกดดันอยู่ มันจะคนฟังเพิ่มขึ้นรึเปล่า เราจะทำได้ไหม มีคนชอบไหม   

ก้อง:  ตอนนี้ก็เล็กน้อย มีแบบพอดีให้แบบว่าเราไม่หยุดพัฒนา ที่ผ่านมามันก็มีแบบอย่างน้อย ด้วยความที่เราไม่ได้จบสายตรงดนตรี มันก็รู้สึกเหมือนคนไทยไปอยู่ต่างประเทศ ต้องไปเรียนภาษาอังกฤษ เรารู้สึกว่าพอเข้าอุตสาหกรรมนี้ ผมก็ต้องปรับพื้นฐานด้านภาษาอังกฤษ เหมือนปรับพื้นฐานด้านดนตรีให้มันทัน เวลาทำงานกับคนอื่นมันจะได้รู้เรื่อง ฟีลๆ นั้น พอมันผ่านไปได้ ถ้ากดดันคงเป็นเรื่องงานครีเอทีฟละกันครับ หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรมาก  

อยากให้เป็นเพลงตัวเองเป็นเพลงตลาดขนาดนั้นไหม
โฟล์ก: เรารู้สึกว่าเราอยากใช้ภาษาที่มันเล่าเรื่องเข้าใจง่ายด้วยนะ เพียงแต่ว่าตัวผัสสะของการฟัง คือเรื่องซาวด์ หรือ arrangement ของดนตรี เราก็อยากให้มันมีเอกลักษณ์ประมาณหนึ่ง มันอาจเป็นซาวด์ที่เขาไม่เคยได้ยิน หรือในเพลงอื่นๆ ในสมัยนี้ คือเราอยากได้ซาวด์แบบนั้น ภาพรวมของเพลง สุดท้ายเราก็อยากให้เข้าถึงคนวงกว้างเนาะ

vitamin-d-from-the-sun-interview-SPACEBAR-Photo03.jpg

Surf Pop ในทีแรกมีที่มายังไง
VDFTS: จริงๆ ปัจจุบันพูดรวมๆ เราเรียกว่าอัลเทอร์เนทีฟนะครับ ถ้ากลับไปดูผลงานชื้นเก่าๆ มาอยู่ค่ายกันใหม่ๆ มันจะมี EP หนึ่ง 4 เพลง เรียกว่า Dad-D ไอ้พวกนั้นจะมีความแบบ vibe ทะเล มีความทะเล ความใช้ซาวด์ที่มันมีความเซิร์ฟ เพียงแต่ว่าพอมาสองเพลงหลัง มันก็มีความโซล ฟังก์ขึ้นเนาะ แต่ว่าดนตรีมันก็จะมีเสียงซินธ์ที่อยู่แบ็คกราวด์ ก็ยังคงไว้ตั้งแต่ EP ที่แล้ว   

ก้อง: ช่วงนั้นเราก็อินในไวบ์ริมชายหาด เราเลยอยากทำให้ได้ไวบ์นั้น ก็คงต้องมาทางเซิร์ฟแล้วล่ะ พอหลังๆ เราก็มีไอเดียมากกว่านั้นด้วยแหละ ไม่อยากใช้ไอเดียแค่ในบรรยากาศนี้ ก็มีทิศทางที่เรายังทำได้อีก เลยมาทำโซล ฟังก์ หรือเพลงฝันไป ผมก็แต่งไม่นาน เราก็หาช่วงเวลาที่เราจะเอาออกมา เราคิดว่าตอนที่ทำเป็นดราฟต์กลับไปฟังแล้วเรายังชอบอยู่ เราคิดว่าคงถึงเวลาแหละที่จะลองแนวนี้ แต่ว่าครอบคลุมสุดคืออัลเทอร์เนทีฟป๊อป 

จากวันที่ฟอร์มวงจนถึงตอนนี้มันมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง
VDFTS: ถ้าเทียบกับตอนนี้ก็คงเพิ่มความจริงจังกันมากขึ้น เพราะมันเป็นเหมือนงานได้เลย ตอนที่เราทำตอน 2019 เราก็ทำประกวดส่งแล้วเราก็เอามาพัฒนาต่อมาเป็นเพลง มาปล่อย พอถึงตอนนี้ ในความจริงจังมันก็คงต่างกันแหละครับ ไม่ได้คิดตอนนั้นว่าค่อยๆ ทำเพลง ค่อยๆ ปล่อย คิดออกก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ทำแค่นั้นแหละครับ ตอนนี้มันมีกรอบเวลา ตัวชี้วัด เราก็เริ่มคิดว่าวงเรามีศักยภาพมากขึ้น ว่าจะไปทางไหน อยากเล่นเยอะเหมือนเดิม (หัวเราะ) กระหายเวทีมากขึ้น

vitamin-d-from-the-sun-interview-SPACEBAR-Photo04.jpg

แล้วโควิดเป็นยังไงบ้างเนี่ย
ตอนที่เราเซ็นกับค่ายน่ะครับ มันเป็นช่วงโควิด ตอนแรกเราคิดว่ามันไม่หนักมาก ระลอกแรกแล้วมันก็เบาลง หลังจากนั้นเราก็ประกวด GMM Audition หลังจากนั้นก็เซ็นสัญญากับค่าย ทำ EP Dad-D แต่พอช่วง EP Dad-D กำลังจะปล่อยครับ ตู้มเลย โควิดอีกระลอก ตั้งแต่ปล่อยเพลงไปเกือบๆ ปี กว่าจะมีโชว์แรก   

ความรู้สึกตอนนั้นเป็นยังไงครับ
มันมีช่วงที่โควิดหนักประมาณนึงครับ มันก็จะมีงานของลิโด้แบงค็อกมิวสิกซิตี้ ตอนนั้นเรายังใช้วิธีการอัด Live Session ส่งไป แล้วไปทำให้คนอินเทอร์แอ็คทีฟเอา คือใช้ออนไลน์ ช่วงครึ่งปีแรกหลังจากปล่อยเพลง EP Dad-D ไป หลังจากนั้นอีกสักพักหนึ่ง ถึงจะมีงานเล่น   

ต้นยักษ์: จำได้ว่าช่วงนั้นก็บ่นๆ อยู่ว่าอยากเล่นเวทีจริงๆ ว่ะ จำบรรยากาศตอนนั้นได้อยู่ เพื่อนก็มีความอยากเจอคนเหมือนกัน แต่ทำเท่าที่ทำได้ครับ อดทนกันมาเรื่อยๆ

vitamin-d-from-the-sun-interview-SPACEBAR-Photo05.jpg

วงดนตรีไอดอล? 
ชอบ Tom Misch ถ้าเป็นกีตาร์ ซาวด์รวมๆ คงเป็น Jungle, Parcel ที่เราฟังแล้วเหมือนได้เรฟของซาวด์ ได้ไอเดียในการทำเพลง  

ต้นยักษ์: Bombay (Bicycle Club) มั้ง  

VDFTS: ไม่ถึงขั้นนั้นมั้ง (หัวเราะ) 

จะมีอัลบั้มเร็วๆ นี้ไหม
อาจจะอีกสักปีนึง รอเก็บอีกชุดนึง และอาจจะต้องมีวางโครงการกันไว้ เพราะตอนนี้เพิ่งปล่อย 2 ซิงเกิลไปปีนี้ มันต้องหาคอนเซปต์ให้มันแน่นอนขึ้น ตอนนี้เหมือนเราทำเพลงเก็บเรื่อยๆ  

มีไอเดียในการทำเพลงอะไรที่อยากทำไหม
เทพ: ของเทพอยากเห็นวงทำเพลงแนวที่มัน แนวรถแห่ไรงี้ (หัวเราะ) มันมันส์ดี อาจเบลนด์กันได้ง่าย ทาร์เก็ตมันแมสไปเลย เป็นทดลองไปเลยครับ ถ้าตัววงได้ทำอะไรงี้จริงน่าจะสนุก ให้มันเป็นดนตรีที่เรากำลังฝึกฝน กับดนตรีรถแห่อ่ะนะ 
ซัง: อยากทำให้มันร็อกมากขึ้น แต่ไม่ได้ทิ้งแนวทางตัวเอง 
เทพ: แต่ปีหนึ่งเราเล่นร็อกนะ เล่นไปทั่วเลย มีทรัมเป็ตเล่นร็อก มั่วมากเลย (หัวเราะ)  ถ้าทดลองก็อาจจะกลายเป็นตอนที่เราเล่นปีหนึ่ง ทุกครั้งที่เราซ้อมเราก็เคยเล่นเพลงเก่าๆ ความปลดปล่อย แหกปาก นี่อาจเป็นแนวทางที่ซังเขาอยากให้มีเป็นเพลงร็อก แต่อาจไม่ร็อกที่รู้สึกถึงว่าเป็นร็อก ให้มันมีกลิ่นความร็อก อาจต้องเปลี่ยนชื่อวงกันละ เป็นวิตามินรวม (หัวเราะ)

vitamin-d-from-the-sun-interview-SPACEBAR-Photo06.jpg

ตอนนี้เป้าหมายของวงคืออะไร
เป็นศิลปินแห่งชาติครับ (หัวเราะ) ล้อเล่นๆ อันนั้นสูงจัด ไม่ใช่ทาร์เก็ตเราด้วย ถ้าระยะสั้นอยากมีงานเล่นบ่อยๆ อยากใช้อาชีพที่เลี้ยงดูได้ เป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กับเพื่อนๆ ได้ มันก็จะคู่กับเป็นที่รู้จัก มันก็เป็นเป้าหมายที่ประกอบๆ กัน การมีเพลงฮิต เพลงแมส อยากมีไปเล่นต่างประเทศบ้าง ตอนนี้มีอะไรโอกาสอะไรเราก็คว้าไปก่อน เรามองเป้าหมายเหมือนเกม มีเควสนึง แล้วเควสนึงไปเรื่อยๆ เราไม่รู้ว่าบอสมันคืออะไร   

ต้นยักษ์: ตอนปล่อยเพลงเราก็รู้สึกดีนะ เพื่อนในคณะแบบแชร์กันทั้งคณะ  เป็นความรู้สึกที่จดจำไปทั้งชีวิต เราคิดว่าเอ้ยเพลงเราดีจริงเหรอ ทำไมเพื่อนสนับสนุนขนาดนี้ หมื่นวิวนี่คือสุดๆ ละครับตอนนั้น   

โฟล์ก: เล่นล่าสุดไป Guitar Mag Award รอบแรกเราได้รับเชิญไป หลังโควิดรอบแรก เราเห็น BNK48 เห็นมิลลิ เห็น Taitosmith ไปแสดง ก็รู้สึกว่าการได้เล่นเวทีนี้ที่เป็นแบบเวทีที่ีคนดนตรีเขาให้การยอมรับ เป็นรางวีลหนึ่งของชาวไทย ถ้าได้เล่นเวทีนั้นคงเป็นสเต็ปสำเร็จอีกสเต็ปนึง อย่างน้อยมันเป็นพ้อยต์นึงของชีวิตที่จะจดจำ ปีต่อมาก็ได้เล่นเฉยเลย เล่นให้ศิลปินหลายคนฟัง ซึ่งก็ไอดอลเราทั้งนั้นกีตาร์แบนด์ทั้งวงการ

vitamin-d-from-the-sun-interview-SPACEBAR-Photo07.jpg

อยากร่วมงานกับใครไหม
จริงๆ มีโปรดิวเซอร์คนหนึ่งที่เห็นเขามาสักพักละ รู้สึกว่าถ้าวันนึง ถ้าลองร่วมงานกับเขาก็น่าสนใจ มี กิจแจ๊ส วงโมโนโทน เราเห็นการสัมภาษณ์ของสิงโต นำโชค เนาะ แล้วพี่สิงโตเขาบอกว่าแกไม่มีอะไร แต่แกมีอะไรได้เพราะพี่กิจ แต่จริงๆ เรารู้แหละว่าพี่สิงโตก็มีเสน่ห์ของแก เลยรู้สึกว่าถ้าพี่กิจแจ๊สมาทำให้ จะดึงเสน่ห์ของพวกเราแบบไหนออกมาได้ หลังจากที่เราฟังสัมภาษณ์มา  

อยากฝากอะไรให้แฟนเพลงครับ
ฝากผลงานล่าสุดครับ ปีนี้เราปล่อยเพลง 2 ซิงเกิลครับ ซิงเกิลแรก ฝันไป เป็นเพลงแรกที่เราเล่าเรื่องในมิติของความสัมพันธ์ มิติของคู่รัก ตัวเพลงมีความเปิดตีความได้หลายแบบ มันก็คือความสัมพันธ์ ความตั้งใจที่มีให้กับอีกคนหนึ่ง ก็เป็นเพลงแนวโซลที่เราพยายามฝึกฝนกัน เพลงที่ตามมาคือ ‘ถ้าเธอไม่รู้’ อาจจะมีจังหวะขึ้นมามากกว่าเพลง ‘ฝันไป’ เป็นเพลงความสัมพันธ์เหมือนกัน แต่อาจจะหมายถึงเรื่องของแพสชัน ความหวัง ความฝันได้ สามารถตีความอย่างงั้นได้เหมือนกัน เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่เราใช้นักร้องสองนักร้องนำ เป็นเพลงที่ก้องขึ้นมาร้องคู่กับเทพ คราวนี้ไม่ใช่ก้องร้องประสานละ ครั้งนี้ร้องสลับกันเลย เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เราเพิ่งทำกันครั้งแรก ยังไงก็ฝากสองเพลงนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยครับ ถ้าอยากฟังทุกเพลงของเรา ตั้งแต่ EP Dad-D มาจนถึงเพลงสองเพลงที่ปล่อยล่าสุด ทั้ง 6 เพลงนี้อยู่ในแชนแนลยูทูบของสนามหลวงมิวสิก และก็ฟังได้ทางสตีมมิงทุกช่องทางครับผม ถ้าอยากคุยกับพวกเรา ก็เฟสบุ๊ก ไอจี และ TikTok Vitamin D from The Sun

vitamin-d-from-the-sun-interview-SPACEBAR-Photo08.jpg

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์