เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแตก ผู้คนแตกกระสานซ่านเซน นายสุจินดา (บุญมา) มหาดเล็ก พระเจ้าเอกทัศน์ พร้อมด้วยเพื่อนสามคน พายเรือหนีทหารพม่าที่ตั้งค่ายเรียงรายอยู่สองฝากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา จะไปหาพี่ชายที่เมืองราชบุรี ในเรือมีเสบียงอาหารเล็กน้อยกับฆ้องเก่าที่ตีหลอกพม่าให้คิดว่าเป็นพวกเดียวกันมาตลอดทาง เรือมาจะถึงวัดแจ้ง(วัดอรุณราชวราราม) แสงไฟที่ค่ายพม่าสว่างมากเกินไป นายสุจินดาจึงคว่ำเรือครอบศรีษะแล้วเปลี่ยนทิศทางไปทางวัดสลัก (วัดมหาธาตุฯ) พลางอธิษฐานถึงหลวงพ่อวัดสลักที่ร่ำลือความศักดิ์สิทธิ์ “หากรอดชีวิตไปได้จะกลับมาบูรณะวัดนี้ให้เจริญยิ่งขึ้นในพระพุทธศาสนา”
ด้วยบารมีหลวงพ่อ นายสุจินดา รอดมาได้แล้วจึงไปพบพี่ชาย ก่อนจะไปสมทบกับพระยาตากช่วยกันกอบกู้อิสรภาพกลับคืนมาได้ ตลอดเวลาที่รับราชกาลกรุงธนบุรี และภายหลังเมื่อขึ้นเป็นสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ได้ทำนุบำรุงวัดสลักขึ้นเป็นวัดมหาธาตุจนทุกวันนี้
นี่คือส่วนหนึ่งของคำบอกเล่าถึงตำนานวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ราชวรวิหาร วัดที่เมื่อสมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ ได้รับการสถาปนาแล้ว ได้ขนานนามวัด สลัก เป็น วัดนิพพานาราม ต่อมารัชกาลที่ 1 ให้สังคายนาพระไตรปิฎกที่วัดนี้ ก่อนการทำสังคายนาพระไตรปิฎกโปรดเกล้าให้เป็นนามใหม่ว่า “วัดพระศรีสรรเพชดาราม” สมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ ยังได้บรรพชาอุปสมบถที่วัดพระศรีสรรเพชดาราม
วัดพระศรีสรรเพชดาราม จึงเหมือนเป็นวัดประจำวังหน้า สิ่งก่อสร้างศิลปะที่ปรากฎทุกวันนี้ล้วนเป็นขนบแบบวังหน้าทั้งสิ้น เมื่อวัดนี้จะมีงานสมโภชน์ 338 ปี เปิดวัดจึงน่าไปชม วัดที่สร้างขนบแบบวังหน้า มีกลิ่นอายแบบกรุงศรีอยุธยา มีพระพุทธรูปและศิลปะวัตถุทรงคุณค่า
ไปวัดมหาธาตุแล้วไปดูอะไรบ้าง “พระแสงราวเทียน” ของบ้ำค่าที่กายไปแล้วได้กลับคืน พระแสงดาบญี่ปุ่นที่เอามาตัดแปลงเป็นเชิงเทียนเป็นพุทธะบูชาถวายพระพุทธปฏิมา เมื่อคราวที่สมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ ทรงพระประชวร ได้รับสั่งให้คนหามพระองค์เข้าไปในพระอุโบสถวัดมหาธาตุฯ ทรงเอาเทียนติดพระแสงดาบ แล้วตั้งสัตยาธิษฐานถวายพระแสงดาบเป็นราวเทียน อันเป็นการยุติการทำศึกสงครามสังหารศัตรูทั้งปวง ถวายเพื่อเป็นพุทธบูชาหน้าพระประธานพระพุทธปฏิมากร พระแสงราวเทียนนี้เคยหายไปและปัจจุบันได้กลับคืนมาอีกครั้งที่วัดมหาธาตุ
วัดมหาธาตุ ยังมีพระอุโบสถใหญ่ที่สุดในพระนคร มีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ 5 องค์ มีต้นพระศรีมหาโพธิ์อายุกว่า 200 ปีจากหน่อต้นทรงตรัสรู้ที่พุทธคยา เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์แห่ง 3 ยุค กรุงศรีอยุธยา – กรุงธนบุรี – กรุงรัตนโกสินทร์ พลาดไม่ได้สำหรับคนที่ชอบผ้าโบราณเพราะจะมีนิทรรศการคัมภีร์โบราณและผ้าหอคัมภีร์เก่าซึ่งเป็นผ้าที่มีคุณค่างดงาม
วัดพระศรีสรรเพชดาราม เปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น วัดมหา ในรัชกาลที่หนึ่ง พอถึงแล้วรัชกาลที่ห้า วัดเก่าทรุดโทรมลงมากจึงได้บูรณะ ทรงบริจาคพระราชทรัพย์อันเป็นส่วนของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2437 อุทิศพระราชทานให้ปฏิสังขรณ์พระอารามจนสำเร็จ และโปรดให้เพิ่มสร้อยต่อนามพระอารามเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชว่า วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร