กระต่ายกับเต่าเอย ราชสีห์กับหนูเอย กบปั่นนมให้เป็นเนยเอย นิทานต่างๆ เหล่านี้ล้วนคุ้นหูพวกเรามาตั้งแต่วัยเยาวน์ ทุกคนคงคุ้นเคยกับนิทาน ‘อีสป’ เป็นอย่างดี นิทานสอนใจที่มีตัวละครเป็นสิงสาราสัตว์พูดได้ มีจำนวนกว่าหลายร้อยเรื่อง และปัจจุบันยังคงถูกเล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจำได้ขึ้นใจ ทุกอาจรู้จักกับนิทานอีสป แต่น้อยคนนักที่จะรู้จัก ‘อีสป’ เจ้าของนิทานที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเดียวกันกับโฮเมอร์ (Homer) เจ้าของมหากาพย์อีเลียด

อีสป (Aesop) หรือชื่อจริงๆ คือ ไอซอโปส (Aisopos) เป็นนักเล่านิทานเกิดที่เมืองเดลฟี (Delphi) ในพื้นที่ที่คนยุคนี้เรียกว่ากรีกโบราณ เมื่อราวปี 650 ก่อนคริสตกาล ว่ากันว่าเขาเป็นทาสที่ชอบเล่านิทานเป็นชีวิตจิตใจ โดยอาศัยเรื่องเล่านิทานปรัมปรามาจากที่ต่างๆ จากคนอื่นๆ ที่เดินทางผ่านมาและผ่านไป มารวบรวมเล่าใหม่เป็นตัวละครสัตว์พูดได้
ไม่มีใครรู้เรื่องราวชีวิตของอีสปมากนัก รวมถึงไม่มีงานเขียนของเขาหลงเหลือมาถึงปัจจุบัน แต่ยังพอมีหลักฐานเกี่ยวกับชีวิตของเขาผ่านงานของอริสโตเติล (Aristotle), เฮโรโดโตส (Herototus) และพลูทาคอส (Plutarch)
ไม่มีใครรู้เรื่องราวชีวิตของอีสปมากนัก รวมถึงไม่มีงานเขียนของเขาหลงเหลือมาถึงปัจจุบัน แต่ยังพอมีหลักฐานเกี่ยวกับชีวิตของเขาผ่านงานของอริสโตเติล (Aristotle), เฮโรโดโตส (Herototus) และพลูทาคอส (Plutarch)

อริสโตเติลกล่าวถึงอีสปว่าเขาเกิดเมื่อปี 620 ก่อนคริสตกาลในเมืองอาณานิคมกรีกชื่อเมเซมเบรีย (Mesembria) แต่นักเขียนรุ่นหลังในยุคโรมันกล่าวว่าเขาเกิดที่เมืองฟรีเจีย (Phrygia) บ้างก็ว่าเขาเป็นชาวซาดีสไม่ก็เมืองลิเดีย อย่างไรก็ตาม อริสโตเติลและเฮโรโดโตส บิดาแห่งประวัติศาสตร์ อธิบายเป็นเสียงเดียวว่าอีสปเป็นทาสที่เมืองซามอส (Samos) มีเจ้านายสองคน คนแรกชื่อ ซานทัส (Xanthus) คนที่สองชื่อแลดมอน (Ladmon) หลังจากที่เขาเป็นไท เขาเดินทางไปที่เมืองเดลฟีและใช้ชีวิตจนถึงวันสุดท้าย
ขณะเดียวกันพลูทาคอส นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกรุ่นถัดมา อธิบายว่าอีสปเดินทางเมืองเดลฟีเพราะได้รับภารกิจจากกษัตริย์โครซัสแห่งลิเดีย (King Croesus of Lydia) แถมยังอธิบายว่าเขาไปสบประมาทชาวเดลฟีไว้ และถูกตัดสินโทษประหารชีวิตจากการที่ไปขโมยของในวิหาร โดยร่างถูกโยนทิ้งลงหน้าผา แต่เรื่องราวทั้งหมดนี้ยังถูกหักล้างโดย เบน เพอร์รี (Ben Perry) ในปี 1965 เพอร์รีอธิบายสิ่งที่พลูทาคอสอธิบายว่าเป็นเพียงเรื่องแต่ง โดยใช้หลักฐานการปรากฎของนิทานอีสปในหนังสือปรัชญา Phaedrus ของเพลโต และช่วงเวลาที่เกิดขึ้นไม่ตรงกันกับที่พลูทาคอสอธิบายไว้ สรุปโดยรวมคือไม่มีใครรู้ว่าชีวิตจริงๆ ของอีสปนั้นเป็นอย่างไรกันแน่
ขณะเดียวกันพลูทาคอส นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกรุ่นถัดมา อธิบายว่าอีสปเดินทางเมืองเดลฟีเพราะได้รับภารกิจจากกษัตริย์โครซัสแห่งลิเดีย (King Croesus of Lydia) แถมยังอธิบายว่าเขาไปสบประมาทชาวเดลฟีไว้ และถูกตัดสินโทษประหารชีวิตจากการที่ไปขโมยของในวิหาร โดยร่างถูกโยนทิ้งลงหน้าผา แต่เรื่องราวทั้งหมดนี้ยังถูกหักล้างโดย เบน เพอร์รี (Ben Perry) ในปี 1965 เพอร์รีอธิบายสิ่งที่พลูทาคอสอธิบายว่าเป็นเพียงเรื่องแต่ง โดยใช้หลักฐานการปรากฎของนิทานอีสปในหนังสือปรัชญา Phaedrus ของเพลโต และช่วงเวลาที่เกิดขึ้นไม่ตรงกันกับที่พลูทาคอสอธิบายไว้ สรุปโดยรวมคือไม่มีใครรู้ว่าชีวิตจริงๆ ของอีสปนั้นเป็นอย่างไรกันแน่

เรื่องราวระหว่างอีสปกับความเป็นเจ้าของนิทานยังคงเป็นอีกเรื่องที่ถกเถียงกันไม่รู้จบ มีหลายทฤษฎีพูดในทางที่แตกต่างกัน เช่น เขาอาจเขียนนิทานจริงและบรรจุนิทานของเขาในห้องสมุดโครซัส, อีสปเป็นเพียงนักอ่านนิทานที่เล่ากันอยู่แล้ว เป็นต้น โชคดีที่นักเขียนรุ่นหลังในยุคโรมันมีคนรวบรวมเรื่องเล่าของอีสปเอาไว้ แต่บางเล่มก็สูญหาย ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่านิทานของอีสปอาจมีมากกว่านี้

ในหนังสือ The Aesop Romance มีการอธิบายว่าอีสปมีหน้าตาลักษณะไม่สวยงามตามค่านิยมของคนยุคนั้น แถมจากคำอธิบายนั้นมีลักษณะคล้ายกันกับชาติพันธุ์ในทวีปแอฟริกา มีความเป็นไปได้ว่าอีสปอาจเป็นทาสชาวแอฟริกันที่มาอยู่ในเมืองกรีก เพราะตามหลักแล้วชาวกรีกมักไม่ถูกนำไปเป็นทาส ยกเว้นชาวต่างชาติหรือศัตรู ถึงกระนั้นก็ยังคงเป็นประเด็นเพราะไม่มีใครรู้ที่มาของเขาอย่างแน่ชัดมาตั้งแต่แรก ในยุคหลักมีศิลปินมากมายพยายามวาดรูปเขาในลักษณะผิวขาวบ้าง ผิวคล้ำบ้าง รวมถึงผิวดำ แต่ที่ยังคงอยู่คือใบหน้าที่น่าเกลียดน่าชัง (ตามคำอธิบายในหนังสือ The Aesop Romance คือ ร่างเล็ก, ผิวคล้ำ, ศีรษะใหญ่, เท้าแบน) ถูกเปรียบเทียบว่าเป็นเหมือนผลงานของโพรมีทีอัสที่สร้างขึ้นตอนกึ่งหลับกึ่งนอน (ชาวกรีกเชื่อว่าเทพโพรมีทีอัสเป็นคนปั้นมนุษย์) และเป็นใบ้พูดไม่ได้
แต่ไม่ว่าอีสปเป็นใครมาจากไหน นิทานเรื่องเล่าของเขามักถูกนำมาเล่าเสมอ และเป็นนิทานแสนสนุกที่อยู่ในความทรงจำของใครหลายคน ที่สำคัญคือมีบทเรียนสอนใจเสมอจนกลายเป็นต้นแบบนิทานยุคหลัง นับว่าเป็นสิ่งล้ำค่าที่ตกทอดให้กับคนรุ่นหลังมายาวนานกว่าสองพันปีเลยทีเดียว
แต่ไม่ว่าอีสปเป็นใครมาจากไหน นิทานเรื่องเล่าของเขามักถูกนำมาเล่าเสมอ และเป็นนิทานแสนสนุกที่อยู่ในความทรงจำของใครหลายคน ที่สำคัญคือมีบทเรียนสอนใจเสมอจนกลายเป็นต้นแบบนิทานยุคหลัง นับว่าเป็นสิ่งล้ำค่าที่ตกทอดให้กับคนรุ่นหลังมายาวนานกว่าสองพันปีเลยทีเดียว