หลังจากข่าวเกมภาคใหม่ล่าสุดอย่าง WWE2K24 ของ WWE สมาคมมวยปล้ำระดับบิ๊กของสหรัฐอเมริกา ที่ปล่อยตัวอย่างแรกพร้อมประกาศวันวางจำหน่ายในวันที่ 8 มีนาคม ก็มีความเคลื่อนไหวออกมาใหม่ แถมยังเป็นประเด็นใหญ่ในวงการมวยปล้ำไม่แพ้กัน นั่นก็คือทางด้าน Dwayne Johnson หรือ The Rock อดีตนักมวยปล้ำชื่อดัง และปัจจุบันเป็นซูเปอร์สตาร์อยู่ในวงการฮอลลีวูด ได้เข้ามานั่งเป็นบอร์ดบริหารของ TKO (TKO Group Holdings) บริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ของแดนลุงแซม ที่ตอนนี้เป็นบริษัทแม่ของ UFC (Ultimate Fighting Championship) เวทีศิลปะการต่อสู้แบบผสมชื่อดังระดับโลก และ WWE สมาคมมวยปล้ำเบอร์ 1 ของอเมริกา โดยการมาของเจ้าของท่าศอกมหาชนก็จะทำให้เขาได้ครองเครื่องหมายการค้าที่ชื่อว่า ‘The Rock’ เป็นของตัวเองไปแล้วเรียบร้อย ซึ่งในอนาคตเราอาจจะเห็นเขาใช้ชื่อเครดิตในภาพยนตร์ว่า The Rock หรือไม่ก็ Dwayne ‘The Rock’ Johnson ก็ได้
อีกเรื่องหนึ่งที่ประกาศข่าวออกมาแล้วเป็นประเด็นใหญ่ไม่แพ้กันคือการจับมือกันระหว่าง WWE กับ Netflix แพลตฟอร์มสตรีมมิงชื่อดังระดับโลก ที่เป็นดีลระดับบิ๊กเบิ้มเป็นพาร์ทเนอร์กันยาวนานถึงสิบปี ด้วยมูลค่าสูงถึง 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในตอนแรกได้มีการออกมาบอกกล่าวเบื้องต้นว่ารายการประจำสัปดาห์เบอร์ 1 อย่าง RAW จะย้ายไปถ่ายทอดสดทาง Netflix เริ่มตั้งแต่มกราคม 2025 โดยเริ่มในสหรัฐฯ, แคนาดา, สหราชอาณาจักร และแถบละตินอเมริกา ก่อนในเบื้องต้น ในขณะที่ภูมิภาคหรือประเทศอื่นๆ จะตามมาทีหลัง แถมนี่ยังจะเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีอีกด้วยที่รายการ RAW จะไม่ได้ออกอากาศแบบสดๆ ผ่านทางทีวีในสหรัฐอเมริกา
แต่เมื่อไปดูเบื้องลึกของดีลนี้จริงๆ นอกจาก Netflix จะเป็นบ้านหลังใหม่ในการออกอากาศของ RAW แล้ว ตามแถลงการณ์ของ Netflix ยังบอกเพิ่มเติมมาแล้วว่าสตรีมมิ่งของพวกเขาจะเป็นแหล่งรวมรายการทุกรายการของ WWE และจะอยู่ในตลาด International ด้วย ไม่ใช่แค่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมถึงรายการรายสัปดาห์อื่นๆ อย่าง Smackdown, NXT ไปจนถึง Premium Live Events หรือศึกใหญ่ของสมาคม บวกกับสารคดี, ซีรีส์ต้นฉบับ และโปรเจ็กต์ต่างๆ อีกมากมายที่จะออกฉายในอนาคต จะลงสตรีมทั่วโลกผ่าน Netflix ตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป
ถ้าเป็นไปตามที่เราเข้าใจ เบื้องต้นในบ้านเราตอนนี้ผู้ถือลิขสิทธิ์สองรายการประจำสัปดาห์ของ WWE อย่าง RAW และ Smackdown คือ 3BB ที่ฉายแบบออกอากาศสดพร้อมอเมริกาผ่านช่อง 3BB Giga TV และ AIS Play อยู่ ก็ทำให้ต้องมารอดูกันว่าสัญญากับ 3BB หมดเมื่อไหร่ เพราะถ้ายังติดสัญญาอยู่ก็คงต้องรอให้หมดไปก่อน ถึงจะได้ดูสองรายการนี้ใน Netflix แต่คาดว่ารายการอื่นๆ อย่าง NXT, ซีรีส์กับสารคดี และ Premium Live Events ถ้าพร้อมในบ้านเราและไม่มีอะไรผิดพลาดก็น่าจะดูได้เลย
ต่อไปนี้แฟนมวยปล้ำก็จะได้ดูศึกใหญ่อย่าง Royal Rumble, SummerSlam และ WrestleMania สดๆ ผ่าน Netflix กันแบบง่ายๆ แล้ว แต่ๆๆ ‘อย่าเพิ่งขึ้นราคานะจ๊ะ Netflix จ๋า’
