ไม่แปลกที่ “บิ๊กก้อง” พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จะเดือดถึงควันออกหู กับข่าวเรือน้ำมันเถื่อนของกลาง 3 ลำ ที่หายไปพร้อมของกลางน้ำมันเถื่อนในเรือ ขณะจอดทอดสมออยู่กลางอ่าว ห่างจากท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบเพียง 100 เมตร
โกรธจนควันออกหูน่ะไม่แปลก ไม่โกรธสิแปลก เพราะเหตุและผลของสาเหตุที่เรือหายรอบนี้ อ่านดูกี่รอบก็น่าโมโห สำหรับผู้บังคับบัญชาแบบ “บิ๊กก้อง”

“เกิดคลื่นลมแรง ถ้ายังจอดที่ท่า อาจสร้างความเสียหาย”
“ต้องย้ายไปจอดทอดสมอกลางอ่าว”
“จอดในตำแหน่งที่เห็นด้วยสายตา”
“ห่างจากท่าเรือตำรวจน้ำสัตหีบ แค่ 100 เมตร”
“สองทุ่มยังเห็น จอดเปิดไฟสว่าง”
“สี่ทุ่มปิดไฟมืด เช้าหาย”
“ได้รับรายงานล่าสุดว่า วิ่งผ่านเกาะช้าง คาดออกไปยังน่านน้ำประเทศเพื่อนบ้านแล้ว”

ใครเป็นผู้บังคับบัญชา อ่านรายงานฉบับนี้…ไม่โกรธก็ยิ่งกว่าพระอรหันต์!
เรือประมงดัดแปลงเป็นเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน 3 ลำรวมของกลาง 330,000 ลิตร มูลค่าน้ำมันดีเซลวันนี้ ประมาณการณ์ลิตรละ 33 บาท ก็ประมาณ 10 ล้านบาทกลมๆ จู่ๆ หายไปแบบเงียบเชียบ หายไปกับสายลมและเสียงคลื่น

ใครเป็นบิ๊กก้องก็ต้องลมออกหู!
แถมแว่วๆ ว่าเรือ 3 ลำนี้เป็นเครือข่ายของ สหชัย เจียรเสริมสิน หรือ “โจ้ น้ำมันเถื่อน” ผู้กว้างขวาง 1 ใน 3 ของธุรกิจค้าน้ำมันเถื่อนในภาคใต้ ควันที่พุ่งออกทางหูก็ยิ่งแรงมากขึ้นไปอีก เพราะ “โจ้ น้ำมันเถื่อน” นี่เปรียบเสมือนบาดแผลของหน่วยงานด้านการปราบปรามน้ำมันเถื่อนในภาคใต้ เพราะจับแล้วหลุด จับแล้วรอดมาตลอด
“โจ้” มีคดีที่อยู่ในระหว่างรอดำเนินคดีเกิน 10 คดี แต่จนถึงวันนี้ยังหลบหนีแบบลอยนวล พร้อมกับมีข้อมูลว่า ยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังสั่งการขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนในภาคใต้อยู่เนืองๆ
ถ้าเรือของกลาง 3 ลำที่หายไปเป็นของโจ้จริง ก็เท่ากับว่า งานนี้โจ้ก้าวเข้ามาเหยียบจมูกเสืออย่าง “บิ๊กก้อง” อย่างเต็มแรง
ที่ผ่านมา “บิ๊กก้อง” เข้ามาปรับทัพ จัดกำลัง และสร้างภาพลักษณ์ให้กับกองบัญชาการสอบสวนกลางที่โดดเด่น ละเอียดแม้แต่การสร้างแบรนด์ CIB ที่สร้างภาพจำให้กับสังคม ด้วยสีสันที่เห็นชัด และเน้นใช้คำว่า CIB ในทุกสื่อที่นำเสนอต่อสังคม
การคลี่คลายคดีสำคัญทั้งคดีเก่าตกค้าง และคดีใหม่ที่ CIB เข้าไปดำเนินการ และปฏิบัติการในนาม CIB ล้วนสร้างชื่อ และสร้างจุดแข็งในเส้นทางการรับราชการของ “บิ๊กก้อง” ให้โดดเด่นและไร้ที่ติ
การจัดโครงสร้าง บช.ก. และการวางขุนพลหลักในกองบังคับการที่สำคัญใน บช.ก. ทำให้ “บิ๊กก้อง” สั่งการได้อย่างเป็นเอกภาพ และเชื่อว่า “บิ๊กก้อง” จะยังคงขออยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางอีกอย่างน้อย 2 ปี เพื่อวางรากฐาน บช.ก.ให้ลงตัวมากกว่านี้ และยังมีอายุราชการมากพอที่ไม่จำเป็นต้องเร่งขยับขึ้นไปเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.
พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผู้บังคับการตำรวจน้ำ ก็เป็นหนึ่งในขุนพลเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 34 ที่ “บิ๊กก้อง” ส่งไปควบคุมและกำกับดูแลตำรวจน้ำ หน่วยงานสำคัญทางทะเลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางทะเล เพื่อให้มั่นใจว่า สามารถสอดส่อง ป้องกัน และปราบปรามขบวนการผลประโยชน์นอกกฎหมายทางทะเลได้อย่างใกล้ชิด
เรือน้ำมันเถื่อนทั้ง 3 ลำ ก็เป็นผลงานจากการปราบปรามและจับกุมของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเช่นกัน
ปฏิบัติการล้วงคองูเห่ารอบนี้ จึงเหมือนส่งสารท้าทายไปยัง “บิ๊กก้อง” พล.ต.ท.จักรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางโดยตรงว่า จะรับคำท้าจากขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนครั้งนี้หรือไม่

คำท้าทายรอบนี้ เป็นคำท้าอันมาจากขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนที่มีมูลค่าผลประโยชน์ในวงการนี้ปีละกว่า 3 แสนล้านบาท
เป็นคำท้าทายที่เมื่อเทียบมูลค่าการลักลอบนำเข้าน้ำมันเถื่อนที่สูงถึง 3 แสนล้านบาท แต่มูลค่าการจับกุมในแต่ละปี ในช่วง 5 ปีย้อนหลัง พบว่า จับน้ำมันเถื่อนได้แค่ปีละ 500-700 ล้านลิตร โดยมีมูลค่าเฉลี่ย 10,000 – 14,000 ล้านบาท คิดเป็น 4.6 % ของมูลค่าการลักลอบนำเข้าเท่านั้น
เรือน้ำมันเถื่อนของกลางหายครั้งนี้ จึงไม่เพียงแค่ใครบกพร่องในการดูแลเรือของกลาง ไม่ใช่แค่การลงโทษเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ แล้วจบ แต่เป็นปฏิบัติการที่ตอกย้ำความเชื่อของขบวนการอาชญากรรมต่อกลไกของรัฐที่ว่า “แค่มีเงิน ก็ใช้ผีโม่แป้งได้” ว่าจะยังคงศักดิ์สิทธิ์และใช้ได้
นอกจากนี้ยังเป็นการประกาศศักดาของขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนกลางอ่าวไทยว่า ยังคงมีศักยภาพ และมีอิทธิพลเพียงพอที่จะปฏิบัติการได้โดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย อันเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่รัฐต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า คำกล่าวนี้ไม่เป็นจริง
โดยเฉพาะตำรวจ บช.ก.ในยุค “บิ๊กก้อง” ที่นับวันจะมีย่างก้าวที่หนักแน่น และมีผลงานที่สร้างความหวังให้กับสังคมไทย