ส่องก้าวย่าง ‘รัฐบาลอิ๊งค์’ ฝ่าขวากหนาม หลุมพรางเขมร กลางฉากทัศน์การเมืองไทย…ที่ไม่เหมือนเดิม

6 ก.ค. 2568 - 02:23

  • แรงกระเพื่อมจากคลิปเสียงลุงหลาน สะเทือนความมั่นคงรัฐบาลแพทองธาร

  • การเมืองไทยฝุ่นตลบ คาดรัฐบาลอยู่ไม่ยาว ทุกพรรคเคลื่อนตัวขยับรอเลือกตั้ง

  • จับตาเก้าอี้ รมว.กลาโหม เมื่อหินถูกโยนถามทางแต่ใครคือตัวจริง

ส่องก้าวย่าง ‘รัฐบาลอิ๊งค์’ ฝ่าขวากหนาม หลุมพรางเขมร กลางฉากทัศน์การเมืองไทย…ที่ไม่เหมือนเดิม

ทิ้งการบ้านที่จะไขปมเบื้องหลัง ฉากทัศน์การเมืองไทยปี 2025 เอาไว้เกือบ 2 อาทิตย์ แต่ยังหาจังหวะเหมาะๆที่จะมาเล่าเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะความเคลื่อนไหวทางการเมืองของไทยในรอบ 2 อาทิตย์นี้ ร้อนแรงและเปลี่ยนแปลงเร็วมาก 

เพียงครึ่งเดือน นับจากวันที่ 17 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่มีการปล่อยคลิปเสียงการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างนายกฯอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร และสมเด็จฮุน เซน ผู้นำทางจิตวิญญาณของกัมพูชา การเมืองไทยเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว 

การเมืองที่เคลื่อนเร็ว รุนแรง เป็นระบบ ที่มีการสอดรับกันทั้งกระบวนการ ล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน คือ พุ่งหอกเข้าสู่นายกฯอิ๊งค์ 

กระบวนการในประเทศ ที่ขับเคลื่อนทั้งยื่นถอดถอน และกระบวนการขานรับหลังศาลรธน.มีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว  

สอดรับกันอย่างเหลือเชื่อ และมากกว่าความบังเอิญ กับกระบวนการทางการเมืองระหว่างประเทศ ฝั่งกัมพูชา ที่ขับเคลื่อนโดยสอง ‘พ่อลูกตระกูลฮุน’ ทั้งสมเด็จ ฮุน เซน และพล.อ.ฮุน มาเนต 

ฮุน เซนผู้พ่อนั้น ถึงกับออกมาทำนายความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในไทยว่าจะมีนายกรัฐมนตรีใหม่ภายใน 3 เดือน และตัว ฮุน เซน อวดอ้างว่า รู้ล่วงหน้าแล้วว่า หน้าตานายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทยจะเป็นอย่างไร 

ขณะที่การเมืองในประเทศ ‘รองแบด’ ภราดร ปริศนานันทกุล อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฏร จากพรรคภูมิใจไทย ก็ขานรับด้วยการวิเคราะห์อนาคตรัฐบาลอิ๊งค์2 ว่า จะอยู่ได้ถึง 3 เดือนหรือไม่

ตัวเลข 3 เดือนอาจเป็นการบังเอิญ ที่เป็นตัวเลขเดียวกันกับตัวเลข 3 เดือนของสมเด็จฮุน เซน แต่ท่าทีของส.ส.บางคนของพรรคประชาชน ในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้าน ที่เริ่มเคลื่อนไหวเชื่อมโยงกับคนของพรรคภูมิใจไทย 

การให้สัมภาษณ์ถึง นายกรัฐมนตรีชั่วคราว ที่พรรคประชาชนพร้อมโหวตให้หากปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ทางพรรคเสนอ ทั้งที่วันนี้ศาลรัฐธรรมนูญเพียงแค่มีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ยังไม่ได้มีคำวินิจฉัยเด็ดขาด อันหมายถึงตัวนายกรัฐมนตรียังคงอยู่ตำแหน่ง ทั้งหมดล้วนบังเอิญ และสอดคล้องกัน ตรงกัน แบบเกินคาด

การเมืองที่ฝั่งหนึ่งมั่นใจยิ่งว่า “ประสบผลสำเร็จแล้ว” ต่อการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี และสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในไทย 

ขณะที่ฝั่งรัฐบาล โดยเฉพาะตัวนายกฯอิ๊งค์ ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนการเมืองต่อ เป็นจุดที่การเมืองไทยยังคงประลองพลัง ทดสอบลมใต้ปีกของแต่ละฝ่าย

เหตุการณ์ทั้งหมด…หากเป็นฉากทัศน์การเมืองไทยแบบเดิมๆ

สถานการณ์ทั้งหมด…คงไม่ทอดยาวมาเกินครึ่งเดือนเช่นนี้

เพราะทันทีที่คลิปเสียงนายกฯอิ๊งค์หลุดออกมาสู่สาธารณะ ทันทีที่มีการถอดคลิปเสียงทั้ง 17 นาทีจบ ทันทีที่นายกฯอิ๊งค์ แถลงยอมรับว่า เป็นคลิปเสียงจริง ไม่ใช่ คลิป AI 

และทันทีที่สมเด็จฮุน เซน ออกมายืนยันที่มาของคลิปแบบชัดเจน พร้อมแถลงยืดยาวที่มีเป้าหมายขย่ม ‘ตระกูลชิน’ แบบไม่ให้ผุด ให้เกิด 

การเมืองไทย ย่อมต้องเปลี่ยนหน้าการเมืองใหม่ ภายในไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ 

เบาสุด คือ อนุพงษ์โมเดล ที่พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก เคยตั้งโต๊ะแถลงข่าว รายการ “เรื่องเด่นเย็นนี้” ทางสถานีโทรทัศน์สีช่อง 3 ร่วมกับ 5 องค์กรภาคเอกชน เสนอทางออกแก่ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ให้ยุบสภา คืนอำนาจแก่ประชาชน เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2551

ครั้งนั้นมีสาเหตุมาจากเหตุการณ์ที่ตำรวจนำกำลังเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนเกิดผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิตจำนวนหนึ่ง 

หรือหนักสุด ก็คือ การยึดอำนาจที่เคยเกิดขึ้นในปี 2549 และปี 2557

แต่สถานการณ์รอบนี้ จุดเปลี่ยนที่เห็น คือ เช้าวันถัดมา นายกฯอิ๊งค์ เรียกประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคง และมีการแถลงข่าว พร้อมปรากฏภาพผู้นำเหล่าทัพเข้าแถวยืนอยู่เบื้องหลัง 

วันนั้นแม้นายกฯอิ๊งค์จะมีร่องรอยของใต้ตาที่บวมช้ำเห็นชัด แต่แววตาที่เด็ดเดี่ยวและท่าทีที่ยังพร้อมสู้ ทำให้ฉากทัศน์การเมืองไทยเริ่มไม่เหมือนเดิม

แม้ต่อมาจะมีการชุมนุมขนาดใหญ่ในพื้นที่บริเวณรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่บ้างก็ว่า มีผู้ชุมนุมเรือนแสน บ้างก็ว่า มีผู้ชุมนุมแค่หลักพัน ก่อนจะมีตัวเลขกลางๆ ที่พอรับได้ว่า มีผู้ชุมนุมประมาณ 2-3 หมื่นคน

การชุมนุมแบบฉุกละหุก แต่มีผู้ชุมนุมมาร่วมกันเรือนหมื่นเช่นนี้ หากเป็นก่อนหน้านั้น การชุมนุมจะไม่หยุดแค่วันเดียว และหยุดตามเวลาคือ สามทุ่มตรงอย่างแน่นอน 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องหลังการชุมนุม แม้บ่ายของวันที่ 1 กรกฏาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งให้ นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ตามความคาดหมายของหลายฝ่าย 

แต่เช้ามืดของวันที่ 1 กรกฏาคม 2568 ก่อนศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งรัฐมนตรีใหม่ และมีชื่อ นายกฯอิ๊งค์ เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม

แม้จะมีความพยายามจากนักวิชาการและอดีต สว. ที่ออกมาแสดงความเห็นว่า นายกฯอิ๊งค์ขาดคุณสมบัติ และไม่ควรเข้าร่วมในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณต่อเบื้องพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 

แต่ท้ายที่สุด ภาพการเข้าเฝ้าฯและภาพการเข้าปฏิบัติหน้าที่วันแรกที่กระทรวงวัฒนธรรม ก็ยังเป็นไปตามกำหนดการเดิมทั้งหมด 

ฉากทัศน์การเมืองไทยในรอบเกือบ 3 สัปดาห์ หลังวันที่มีคลิปเสียงหลุด จึงถูกตั้งคำถาม และตั้งข้อสังเกตว่า เกิดอะไรขึ้น และทำไม ปัจจัยโดยรอบถึงเหมือนเดิม 

คำถามข้อแรก ถูกโยนมาพร้อมข้อเรียกร้องไปยังกองทัพว่า ทำไมนิ่งเฉย ทั้งที่สถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น สุกงอม มีเหตุ และปัจจัยที่พร้อมต่อการรัฐประหาร 

ไม่ว่าจะเป็นคลิปเสียงที่เสมือนหนึ่งจะตกเป็นเบี้ยล่าง ที่พร้อมจะดำเนินการตามคำขอของสมเด็จ ฮุน เซน ทุกเรื่องหรือท่าทีของกัมพูชาที่แข็งกร้าวมากขึ้น นับจากรัฐบาลอิ๊งค์หนึ่งสะดุด 

คำถามที่สอง แม้กองทัพจะนิ่งเฉย และเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องให้ใช้กำลัง แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ควรกดดันให้นายกรัฐมนตรีลาออก ดั่งที่ พล.อ.อนุพงษ์ เคยดำเนินการมาก่อน หรืออย่างน้อยที่สุด รัฐบาลก็ควรยุบสภาเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในรัฐบาลของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะทั้งหมดเป็นฉากทัศน์การเมืองไทยที่เคยเกิดขึ้น ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า บนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศนี้    

คำตอบ คือ แล้วอะไร ทำให้ฉากทัศน์การเมืองไทยเปลี่ยนได้มากขนาดนี้ 

ขอสงวนพื้นที่เป็น EP.ถัดไป เพราะถ้าตอบใน EP.นี้ บทความชิ้นนี้ก็จะยาวเกินไปมาก 

EP.หน้า จะมาเฉลย อะไรคือเบื้องหลังของฉากทัศน์การเมืองใหม่ และไขปริศนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่า เก้าอี้ที่ว่างอยู่ จะใช่เป็น ‘บิ๊กแก้ว’ พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ เตรียมทหาร 21 อดีตผู้บัญชาการกองทัพไทย ผู้เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีตผู้บัญชาการทหารบก และเป็นหนึ่งในผู้ที่ร่วมคณะไปเกาะลังกาวี ท่ามกลางข่าวลือดีลลับลังกาวีจริงหรือไม่

หรืออาจเป็นคนอื่น ที่ลองโยนชื่อ ‘บิ๊กแก้ว‘ ลงมาเป็นหินถามทาง 

โปรดอดใจรออีกนิด…แต่คงไม่ต้องรอด้วยความระทึกในฤทัยพลันก็ได้

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์