หลิว จง อี้ -หม่องชิต ตู มังกรทอง ปราบ พญางูดิน

24 ก.พ. 2568 - 04:01

  • แผนการปราบแก็งคอลเซ็นเตอร์ เมืองสแกมเมอร์ของจีน

  • ส่งมือปราบ หลิว จง อี้ ลงพื้นที่ล้างบางจีนเทา

  • การปรับกระชับอำนาจกองกำลังในพื้นที่ล่อแหลม

deep-space-call-center-maung-chi-tu-liu-zhong-yu-SPACEBAR-Hero.jpg

พญางูดินเจ้าถิ่น ‘หม่อง ชิตตู’ แห่งเมืองคนบาป ‘เมียวดี’ ผู้หาญกล้าท้าทายพลังอำนาจมังกรแห่งปักกิ่ง ‘หลิว จงอี้’

ตลอดเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หลังจากมีข่าวความเคลื่อนไหวในการทลายอาณาจักรธุรกรรมออนไลน์ ‘สแกมเมอร์ อิงค์’ ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกออนไลน์ ในดินแดนที่ดูเหมือนจะไร้กฎหมายเอื้อมมือเข้าไปถึง บริเวณรอยตะเข็บชายแดนไทย-เมียนมา เมืองเมียวดี ตรงข้ามแม่สอดของไทย สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนแบบฉับพลันและรุนแรงชนิดแทบไม่ทันตั้งหลักให้กับองค์กรอาชญากรรมทางเศรษฐกิจข้ามชาติที่อยู่ภายใต้การบริหารและจัดการของ ‘ซอ ชิต ตู’ หรือที่เรียกกันว่า ‘หม่อง ชิตตู’ ผู้นำกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง (Border Guard Force: BGF) เป็นกองกำลังติดอาวุธที่อยู่ภายใต้การสนับสนุนของกองทัพเมียนมา

การปรากฏตัว และย่างกรายเข้ามาจัดระเบียบของ ‘หลิว จง อี้’ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ขุนพลมือปราบที่ได้ที่ได้รับ ‘ป้ายหยก’ มาจากพญามังกรจักรพรรดิของจีนในยุคปัจจุบัน ประธานาธิบดี ‘สี จิ้น ผิง’ สามารถบุกเข้ามากดดันและบีบให้ทุกฝ่ายตั้งแต่ รัฐบาลไทย ของนายกฯคุณหนู ‘อิ๊งค์’ แพทองธาร ชินวัตร และ แม้แต่รัฐบาลทหารเมียนมา ที่ ‘เนปิดอว์’ พลเอก อาวุโส ‘มิน อ่อง ลาย’ ต้องลุกขึ้นมาขะมักเขม้นร่วมมือกับ คนของ ‘ปักกิ่ง’ ในการจัดการกับปัญหากันขนานใหญ่ 

ชื่อของ ‘หลิว จง อี้’ มือปราบพระกาฬ ปรากฏบนหน้าสื่อไทยและเอเชียหลายต่อหลายครั้ง หลังจาก ดาราจีน ‘หวัง ซิง ซิง’ ถูกหลอกพาตัวไปเข้าไปโดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่เมียวดี เพราะดูจะเป็นเหมือน ‘ฟางเส้นสุดท้าย’ ที่ทำให้ ‘พญามังกรจีน’ ตัดสินใจขยับ ‘ขดหาง’ ฟาดลงมายัง รัฐบาลไทยและรัฐบาลทหารของเมียนมา เพื่อแสดงแสนยานุภาพและความมุ่งมั่นที่จะเปิดปฎิบัติการกวาดล้างขบวนการสแกมเมอร์ที่อยู่ภายใต้การสนับสนุนของขบวนการอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่อยู่ในพื้นที่การสนับสนุนของ ‘หม่อง ชิต ตู’

เพราะ หลิว จง อี้ มีประวัติไม่ธรรมดา แต่เป็นตำรวจมือดีคนหนึ่ง ที่มีชื่อเสียงในด้านการแก้ไขคดีที่หลายคนแก้ไม่ได้ เคยได้รับรางวัล ‘ตัวอย่างด้านความมั่นคงสาธารณะ’ ระดับประเทศ ในปี 2560 และยังมีความสามารถที่โดดเด่นในการปราบปรามอาชญากรรมร้ายแรง ขณะดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานสืบสวนคดีอาญา กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ

หลิว จง อี้ เกิดเมื่อ สิงหาคม 2508 สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยตำรวจมณฑลเฮยหลงเจียง สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี และ เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน ปัจจุบัน นอกจากจะเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีแล้ว ยังดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพรรคและผู้อำนวยการกองบัญชาการที่ 5

สื่อจีนรายงานว่า หลิว จง อี้ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบสวนคดีอาญาระดับชาติ ที่อยู่ในแนวหน้ากับการต่อสู้กับอาชญากรรมของจีน ที่ผ่านคดีที่ ‘ร้ายแรง’ และ ‘ซับซ้อน’ มาแล้วหลายพันคดี โดยทุกคนที่เคยทำงานกับหลิว จง อี้ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาเป็นคนมีความมุ่งมั่นตลอดอาชีพการทำงาน 30 กว่าปี ในขณะที่ 6 ปี ในกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ เขาแสดงให้เห็นถึงคุณภาพที่ยอดเยี่ยมของการสืบสวน ตลอดทุกขั้นตอน รวมถึงการลงพื้นที่สอบสวน การรวบรวมหลักฐาน และ สั่งการ

คำกล่าวอ้างต่างๆเกี่ยวกับ หลิว จงอี้ ถูกพิสูจน์ให้เห็นจริง เมื่อเขาใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์จากวันแรกที่เดินทางมายังไทย ในการปฎิบัติภารกิจที่ละขั้นตอนอย่างรวดเร็ว เริ่มจากการกดดันให้ รัฐบาลไทย ต้องเปิดปฏิบัติการ ตัดไฟฟ้า ตัดระบบโทรคมนาคม อินเทอร์เน็ต ในหลายพื้นที่ของเมียวดี และบินไปถึง ‘เนปิดอว์’ เพื่อเปิดเจรจาขอความร่วมมือแกมบังคับจากรัฐบาลทหารเมียนมา ของ นายพล ‘มิน อ่อง ลาย’ ให้ช่วยกดดัน ‘หม่อง ชิด ตู’ ต้องยอมจัดการปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่อยู่ในเมียวดี เพื่อแลกกับการไม่ต้องเผชิญกับการเข้าไปแทรกแซงกวาดล้างของกองกำลังทหารเมียนมาและจีน

‘หลิว จง อี้’คงจะมีการทำการบ้านมาอย่างดี และตระหนักดีว่า ลำพังการพึ่งพาความร่วมมือจากเจ้าหนี้ที่ทางการของไทย คงไม่ได้ผลเท่านัก เพราะกลไกในหลายๆองค์กรของไทยมีผลประโยชน์ในทางลับๆ จนสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้ ข้าราชการระดับสูงในหลายๆองค์กร ทั้งสีเขียว และสีกากี แถมยังนำส่วยส่งต่อเบื้องบนที่เป็นนักการเมือง เพื่อให้เกื้อกูลยศและตำแหน่งให้เป็นการตอบแทน 

การลงมือปราบแก๊งอาชญากรรมข้ามขาติในพื้นที่แนวตะเข็บชายแดน จึงพยายามที่จะขอความร่วมมือจากทางการไทยให้น้อยที่สุด โดยมุ่งเน้นเฉพาะการปิดกั้นไม่ให้การทำงานของแก๊งค์สแกมเมอร์อาศัยสาธารณูปโภคอย่าง ไฟฟ้า และอินเทอร์เน็ต จากฝั่งไทยได้อย่างสะดวกเหมือนในอดีต พร้อมกับขอให้ฝ่ายไทยมีการเตรียมการในการรับ ‘เหยื่อ’ ที่คาดว่าจะมีการยอมปล่อยตัวออกมาหลายพันคน 

จากนั้น ‘หลิว จง อี้’  ก็บินไป ‘เนปิดอว์’ เพื่อเจรจากดดันจนทำให้รัฐบาลทหารเมียนมาต้องส่งระดับผู้ช่วยรัฐมนตรีมหาดไทยลงมาพื้นที่ เพื่อเปิดเจรจาให้ ‘หม่อง ชิด ตู’  ต้องเปิดปฎิบัติการทลายรังของแก๊งสแกมเมอร์ ปลดปล่อยคนจีนและคนต่างชาติที่ตกเป็นเหยื่อถูกหลอกเข้าไปทำงานเยี่ยงทาส เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกกองกำลังร่วมของรัฐบาลทหารเมียนมาและจีนเข้าไปกวาดล้างเหมือน ‘ปฎิบัติการ 1027’ ที่เคยเกิดขึ้นในกรณีที่ ‘เล่าก์ก่าย’ เมืองเอกของเขตปกครองพิเศษโกก้างทางตอนเหนือของรัฐฉาน ที่ทำให้ ‘เล่าก์ก่าย’ ต้องเปลี่ยนสภาพจาก ‘เมืองคนบาป’ กลายเป็น ‘เมืองร้าง’ เมื่อสองปีที่ผ่านมา

ภาพการส่งตัวของเหยื่อชาวจีนที่ได้รับการปลดปล่อยมาจากแก๊งสแกมเมอร์ ที่กลุ่ม BGF ควบคุมตัวได้จากเมือง ‘ชเวโก๊กโก่’ เมียวดี ที่ส่งข้ามฟากมายังไทย และส่งจากสนามบินแม่สอดกลับไปยังเมืองจีนในช่วง 3 วันที่ผ่านมา จำนวน 628 คน จึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนปฎิบัติการของทางการจีนที่ยังต้องดำเนินการกดดันต่อไป โดยรัฐบาลไทยมีฐานะเป็นเพียงประเทศที่ให้ความร่วมมือและอำนวยความสะดวกให้กับทางการจีนปักกิ่ง

หาก ‘หลิว จง อี้’ เปรียบเสมือนขุนพลที่ถือ ‘ป้ายหยก’ มาจากพญามังกร **‘สี จิ้น ผิง’**ผู้นำกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง (Border Guard Force: BGF) ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธที่อยู่ภายใต้การสนับสนุนของกองทัพเมียนมาหม่อง ชิต ตูก็ไม่ต่างอะไรกับ ‘พญางูดิน’ เจ้าถิ่น ที่เชี่ยวชาญพื้นที่ ซึ่งทั้งคู่คงจะต้องเผชิญหน้าและแตกหักกันในไม่ช้า   

ณ ศูนย์บัญชาการรักษาความปลอดภัย กองกำลัง BGF หรือ กองกำลังพิทักษ์ชายแดนที่เมียวดี ‘หลิว จงอี้’  พร้อมด้วยทางการเมียนมา ที่มี พลเอก อ่อง ยอ ยอ ซึ่งเป็นตัวแทนจากรัฐบาลเมียนมา เขามีโอกาสเยี่ยมคนจีน และชาวต่างชาติที่ทางกองกำลัง BGF และตำรวจเมียนมา ร่วมกันช่วยเหลือออกจากเมืองสแกมเมอร์ในชเวโก๊กโก่ และนำมารวมกันที่ศูนย์พักคอยที่ศูนย์บัญชาการรักษาความปลอดภัยของทหาร BGF โดยมี พันโทหน่าย หม่อง โซ รองผู้บังคับการกองพัน BGF มาร่วมต้อนรับ โดยไม่มีแม้แต่เงาของหม่อง ชิต ตู 

หลิว จง อี้เองก็คงทราบดีว่า ‘ซอ ชิต ตู’ หรือที่เรียกกันว่า ‘หม่อง ชิต ตู ผู้นำกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง BGF กองกำลังติดอาวุธที่อยู่ภายใต้การสนับสนุนของกองทัพเมียนมา ไม่ใช่เป็นเพียง ‘นักรบธรรมดา’ แต่เขาเป็นนักยุทธศาสตร์ที่มีความสามารถในการปรับตัวและเล่นเกมการเมืองที่ซับซ้อน ที่ทำให้เขาสามารถวางตัวอยู่ได้ท่ามกลางสถานการณ์ ‘เขาควาย’ ระหว่างหลายฝ่าย ทั้งรัฐบาลเมียนมา ฝ่ายต่อต้าน เครือข่ายธุรกิจจีนเทา และข้าราชการไทย โดยสามารถรักษาอำนาจของตนเอง รวมถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่มีมูลค่ามหาศาลมาได้เป็นเวลาหลายปี

หม่อง ชิต ตู เริ่มต้นอาชีพทหารกับ กองทัพสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union: KNU) ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธของชาวกะเหรี่ยงที่ต่อสู้กับรัฐบาลเมียนมาเพื่อเรียกร้องสิทธิในการปกครองตนเอง อย่างไรก็ตาม ในปี 2538 เขาแปรพักตร์และร่วมมือกับกองทัพเมียนมาในการก่อตั้ง กองกำลังกะเหรี่ยงพุทธเพื่อประชาธิปไตย (Democratic Karen Buddhist Army: DKBA) โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเมียนมา

ต่อมาในปี 2553 DKBA ได้ถูกเปลี่ยนสถานะเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพเมียนมา และ หม่อง ชิต ตู ได้รับการยกสถานะให้กลายเป็นบุคคลสำคัญในภูมิภาคชายแดนเมียนมา-ไทย โดยมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ภายใต้การดูแลของกองทัพเมียนมา

แต่ในความเป็นจริง BGF กลับดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจ ทั้ง กาสิโน ค้าสิ่งผิดกฎหมาย และมีความเชื่อมโยงกับแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติที่นำโดยนักธุรกิจจีนเทา เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ‘หม่อง ชิตตู’ มีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับ ‘สือ จื้อ เจียง’ นักธุรกิจจีนเทาที่ถูกทางการไทยจับกุมไว้ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรชเวโก๊กโก่ และ ‘KK Park’ ที่ถูกมองว่าเป็นฐานปฏิบัติการของ แก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมข้ามชาติ โดยได้รับการคุ้มครองเพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางการเงินจำนวนมหาศาล

หนึ่งในคุณสมบัติที่เป็นจุดเด่นของ ‘หม่อง ชิต ตู’ คือ ความสามารถในการเล่นไพ่สองหน้า เขาสามารถเปลี่ยนพันธมิตรได้อย่างชาญฉลาดขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองและผลประโยชน์ของตัวเอง

ในช่วงที่รัฐบาลทหารของเมียนมาแข็งแกร่งหม่อง ชิต ตู เลือดที่จะเปลี่ยนมาอยู่ฝ่ายเดียวกับกองทัพเมียนมาและช่วยควบคุมพื้นที่ชายแดน แต่เมื่อช่วงที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเมียนมาเริ่มรุกคืบ เขาก็เลือกที่จะถอยห่างจากกองทัพเมียนมาและวางตัวเป็นกลาง และเมื่อช่วงที่กองทัพเมียนมาต้องการกำลังเสริม เขาก็พร้อมจะกลับมาสนับสนุนกองทัพเมียนมาอีกครั้ง

การเปลี่ยนขั้วอย่างรวดเร็วนี่เองช่วยให้เขาสามารถรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตนเองโดยไม่ถูกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกำจัดออกจากกระดานแห่งผลประโยชน์ และสามารถใช้อำนาจทางการทหารที่ได้ในการสร้างอิทธิพล และขยายธุรกิจจนยึดกุมพื้นที่เศรษฐกิจสีเทาของเมียวดี ซึ่งสร้างรายได้มหาศาลให้กับเขาและเครือข่าย

ยิ่งไปกว่านั้นหม่อง ชิต ตู ยังสร้างเครือข่ายและขุมกำลังไว้ในฝั่งไทย โดยมีความสัมพันธ์ในเชิงผลประโยชน์กับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของไทย โดยเชื่อว่ามีการส่งส่วยให้เจ้าหน้าที่รัฐไทยบางส่วน เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจผิดกฎหมายบริเวณชายแดนได้โดยไม่มีการแทรกแซง และยังมีเครือข่ายธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ทีทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มอิทธิพลในไทยเพื่ออำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์และการเงิน

ทำให้คาดว่าหากมีการจับกุมหม่อง ชิต ตู หรือบุคคลใกล้ชิด อาจนำไปสู่การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเครือข่ายเจ้าหน้าที่รัฐไทยที่เกี่ยวข้องกับเขา จึงทำให้การเดินหน้าออกหมายจับของทางการไทยยังคงเป็นเพียงกระแสข่าวที่ยังไม่มีความชัดเจน

อย่างไรก็ตามเส้นทางของ ‘งูดิน’ เจ้าถิ่นอย่าง ‘หม่อง ชิต ตู’ จะสามารถ ต่อกรกับ ‘หลิว จง อี้’ ที่ได้รับ ‘ป้ายหยก’ มาจากพญามังกร ไปได้อีกนานแค่ไหน คงเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม เพราะความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเหล่านี้ บางทีก็อาจกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้เขาอาจจะถูกกำจัดได้ในอนาคต หากเดินหมากในเกมแห่งอำนาจและผลประโยชน์พลาดเพียงแค่ตาเดียว...

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์