ถึงมือ ‘เนติบริกร’ กาสิโนเสรีลับ-ลวง-พราง

20 ก.พ. 2568 - 03:53

  • ร่าง พ.ร.บ.กาสิโนเสรี ต้องถึงมือระดับ เนติบริกร

  • ปรับรายละเอียดลดกระแสแรงต้านที่มีมากเกินคาด

  • แต่เนื้อในต้องดูให้ดีว่า ลับ-ลวง-พรางขนาดไหน

Deep Space_ร่าง พรบ พนัน-SPACEBAR-Hero.jpg

คาด ‘เชฟใหญ่’ วิษณุ เครืองาม ยกร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ แบบ ,ลับ ลวง พราง’ เจตนาให้เข้มขึ้น เพื่อลดกระแสค้าน ดันให้ผ่านสภาฯวาระแรกไปก่อน หวังไปใช้ ‘อภินิหารทางกฎหมาย’ แปรญัตติปรุงใหม่อีกรอบในชั้นกรรมาธิการ

คงต้องยอมรับโดยมิอาจปฎิเสธว่า ฉายา ‘เนติบริกร’ ของ ‘วิษณุ เครืองาม’ อดีตรองนายกฯ ที่มีบทบาทในสำนักงานคณะกรรมการกฎษฎีกา และมีดีกรีในระดับเป็น ‘เบอร์สอง’ ของคณะกรรมการกฤษฎีกา รองลงมาจาก ‘มีชัย ฤชุพันธุ์’ อดีตประธานวุฒิสภา ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษ 

ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็น ‘เชฟใหญ่’ ในการปรุงร่างกฎหมาย ‘เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์’ ให้กับรัฐบาล ยังคงมีฝีไม้ลายมือที่ไว้ใจได้ในการยกร่างกฎหมายชนิดที่หาใครมาทาบชื่อชั้นระดับ ‘มิชิลิน 3 ดาว’ จริงๆ 

ก่อนหน้านี้ หลังจากกระทรวงการคลังนำ ร่างพรบ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรฯ เข้าที่ประชุมคณะรัมนตรี เห็นชอบในหลักการ เมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา แต่เนื่องจากยังมี ‘จุดอ่อน’ ในหลายๆเรื่องทำให้เกิดกระแสต้านตามมาจากกลุ่มนักวิชาการและภาคประชาชน ทำให้รัฐบาลตัดสินใจส่งร่างให้คณะกรรมการกฤษฎีกาฯ นำไปปรับปรุงให้แล้วเสร็จภายใน 50 วัน

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวเป็นกฎหมายใหญ่ และมีผลกระทบทางการเมืองและสังคมสูง จึงต้องขอแรงให้ วิษณุ เครืองาม เป็นหัวหน้าทีมคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษ ช่วยปรับปรุงร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว 

โดยรัฐบาลส่งตัวแทนที่เป็นฝ่ายการเมือง คือ ‘ศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ’ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และ ‘ฉัตริน จันทร์หอม’ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ไปร่วมประชุมและติดตามการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาและรายงานข้อมูลให้กระทรวงการคลังทราบทุกสัปดาห์

ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรหรือ ร่างกฎหมาย ‘เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์’ ฉบับปรับปรุงของกฤษฎีกา เพิ่งแล้วเสร็จออกมาและอยู่ระหว่างรับฟังความเห็นประชาชน ครั้งที่ 3 ตั้งแต่ วันที่ 15 กมภาพันธ์ และหลังเสร็จสิ้นการรับฟังความคิดเห็นในวันที่ 1 มีนาคมนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกาจะประมวล สรุปและส่งกลับคืนไปยังกระทรวงการคลัง ก่อนจะส่งร่างฯฉบับสุดท้ายให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในเดือนมีนาคมนี้ เพื่อเสนอร่างกฎหมายให้สภาฯพิจารณาต่อไป 

ร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร ฉบับกฤษฎีกา มีการปรับแต่งเนื้อหาที่ ‘แอบซ่อน’เรื่องการเปิดกาสิโนแบบถูกกฎหมายขึ้นในเมืองไทย โดยอาศัยเทคนิคและลูกเล่นทางกฎหมายที่แพรวพราวในการยกร่างกฎหมายให้ออกมาแบบ ‘ลับ ลวง พราง’ เพื่อลดแรงต้านทางสังคมได้อย่างแนบเนียนจนน่าอัศจรรย์

โดยหวังจะลดแรงต้านจากกลุ่มต่อต้านในขั้นตอนรับหลักการวาระแรก แต่คาดว่าเมื่อมีการแปรญัตติในชั้นกรรมาธิการวิสามัญ จะอาศัยลูกเล่นในการใช้ ‘อภินิหารทางกฎหมาย’ เพื่อแปรญัตติแก้ในรายละเอียดร่าง พ.ร.บ.ใหม่อีกครั้งให้เป็นไปตามแนวทางของรัฐบาลอีกครั้ง ก่อนจะนำไปเสนอให้สภาฯพิจารณาในวาระ 2-3 ต่อไป 

เพราะโจทย์หลักของรัฐบาล นายกฯ ‘อิ๊งค์’ แพทองธาร ชินวัตร ที่อยู่ภายใต้การครอบงำและครอบครองของผู้พ่อ อดีตนายกฯทักษิณ คือต้องผ่านร่างกฎหมายนี้ออกมาให้สำเร็จ เพราะมีความเชื่อและฝังใจกับแนวคิดในการดึงเม็ดเงินจากเศรษฐกิจใต้ดินขึ้นสู่บนดิน สร้างแหล่งท่องเที่ยวในรูปแบบ Man-Made Destination ที่มี ‘กาสิโน’ ถูกกฎหมาย ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวรูปแบบใหม่แข่งกับสิงคโปร์ แต่กลับเผชิญกับแรงต้านจากนักวิชาการและภาคประชาชนอย่างหนัก จึงต้องปรับปรุงร่างกฎหมายใหม่เพื่อลดกระแสค้านให้อ่อนลงจนไม่กลายเป็นอุปสรรคในการผ่านร่างกฎหมาย

ร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรฯ ฉบับปรับปรุงดังกล่าว มี 6 หมวด 79 มาตรา โดยมีประเด็นสำคัญๆ ที่ดูจะมีเจตนาในการลดกระแสต้านจากสังคมชนิดที่ชวนสงสัย และต้องถอดปริศนาว่า ทำไมในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จึงมีการกำหนดให้ ‘ผีพนันคนไทย’ ซึ่งจะเข้าไปในกาสิโนว่าต้องมีอายุเกินยี่สิบปี และนอกจากต้องเสียค่าธรรมเนียมในการเข้าไปเล่นพนันในกาสิโนครั้งละสูงถึง 5,000 บาทแล้ว ทำไมยังมีการกำหนดไว้ใน มาตรา 65 ว่าต้องมีเงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท ต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่าหกเดือน !!!

ข้อกำหนดดังกล่าว ไม่ต่างอะไรกับการดับฝันผีพนันคนไทย’ ไม่ให้เข้าไปเล่นพนันในบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายโดยสิ้นเชิง เพราะหากไปพลิกดูตัวเลขของคนไทยที่มีบัญชีเงินฝากประจำระยะเวลาเกิน 6 เดือน จากรายงานยอดคงค้างเงินฝากแยกตามขนาดและอายุเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ที่เปิดเผยโดยธนาคารแห่งประเทศไทยล่าสุด ณ สิ้นปี 2567 มีจำนวนบัญชีเงินฝากประจำของคนไทยที่มีอายุเกิน 6 เดือน ซึ่งมีเกินกว่า 50 ล้านบาท ขึ้นไปมีเพียง 8,549 บัญชี คิดเป็นเม็ดเงินราว 2 ล้านล้านบาท

ที่สำคัญมีบัญชีเงินฝากประจำเกิน 6 เดือนที่มีวงเงินเกิน 50-100 ล้านบาท รวมกันเพียง 5 พันบัญชี คิดเป็นวงเงินเพียง 3.58 แสนล้านบาท

การกำหนดให้ต้องมีเงินฝากประจำเกิน 6 เดือน ในวงเงินเกิน 50 ล้านบาท จึงเป็นเรื่อง ‘ตลกร้าย’ ที่แทบจะเป็นการปิดประตูตายสำหรับนักพนันคนไทยในการเข่าไปเล่นพนันในกาสิโนภายใต้อาณาจักร เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่จะเกิดขึ้นไปโดยปริยาย

เพราะปกติวิสัยแล้ว บรรดานักพนันส่วนใหญ่ จะมองว่าเงินในการเล่นพนันเป็น Hot Money คงมีน้อยรายมากที่จะมีบัญชีเงินฝากประจำ 6 เดือนสูงถึงระดับ 50 ล้านบาท และคนไทยที่มีบัญชีเงินฝากประจำระดับ 50 ล้านบาท ก็คงไม่ใช่นักพนันอย่างแน่นอน

คำถามที่เป็นปริศนาที่ต้องหาคำตอบคือ ‘เชฟใหญ่’ วิษณุ เครืองาม มีเจตนาที่จะปิดล็อกไม่ให้คนไทยเข้าไปเล่นพนันในกาสิโนจริง หรือเพียงเป็นเทคนิคในการเขียนร่างกฎหมายเพื่อตัดประเด็นทางสังคมที่เกรงกันว่าจะเปิดกว้างให้คนไทยกลายเป็นผีพนัน เพื่อลดกระแสต้าน แต่วางหมากค่ายกลเอาไว้แล้วว่า หลังจากผลักดันให้ผ่านสภาฯในชั้นรับหลักการวาระแรกแล้ว จึงจะเข้าไปแก้ให้ผ่อนคลายมากขึ้นในชั้นกรรมาธิการ โดยอาศัยเทคนิค ‘อภินิหารทางกฎหมาย’  หรือไม่

เพราะการปิดทางไม่ให้นักพนันคนไทยมีโอกาสเข้าไปเล่นพนัน ไม่ต่างอะไรกับการตัดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคนไทยของกลุ่มทุนกาสิโนข้ามชาติ ที่คงไม่ได้หวังเพียงลูกค้าจากต่างชาติ และที่สำคัญการเปิดกาสิโนแบบถูกกฎหมายภายใต้แนวคิดสถานบันเทิงครบวงจรของรัฐบาลตามร่างใหม่นี้ ดูเหมือนจะไม่ตอบโจทย์ที่รัฐบาลอ้างว่าจะทำให้บ่อนเถื่อนหมดไป

นอกจากนี้ยังมีการล็อคพื้นที่ทำกาสิโนไว้ ‘ไม่เกิน 10% ของพื้นที่’ ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมจับตาและถกเถียงกันอย่างมาก เพราะร่างเดิมของกระทรวงการคลังไม่ได้กำหนดพื้นที่ในการทำกาสิโนเอาไว้ และมีการกำหนดให้ต้องทำ ‘อีไอเอ’ รายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ ก็ดูเหมือนมีเจตนาเพื่อหวังจะลดกระแสค้านเช่นเดียวกัน

ในมาตรา 9 ยังมีการกำหนดให้ให้คณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร แต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจขึ้น เพื่อศึกษาความเหมาะสมของพื้นที่ ความเหมาะสมทางด้านการเงิน ตลอดจนผลกระทบและแนวทางหรือมาตรการป้องกัน แก้ไข หรือเยียวยาผลกระทบจากการเปิด ‘กาสิโน’ และความคุ้มค่าที่ประชาชนในพื้นที่และรัฐจะได้รับ ซึ่งเพิ่มเติมจากร่างเดิมที่ ไม่มีประเด็นดังกล่าว โดยเฉพาะเรื่อง ‘การเยียวยา’

ส่วนประเด็นเรื่อง ‘ซูเปอร์บอร์ด’ หรือคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร ที่เป็นคณะกรรมการที่มีอำนาจมากที่สุด และที่ผ่านมาถูกวิจารณ์อย่างมากว่า มีการให้อำนาจกับคณะกรรมการมากเกินไป จนถูกเรียกว่า ‘ตีเช็คเปล่า’ ให้กับกรรมการที่ส่วนใหญ่เป็นนักการเมือง คือรัฐมนตรีในตำแหน่งต่างๆ และคนจากฝ่ายการเมืองตั้งไปเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ  พบว่าร่างของคณะกรรมการกฤษฎีกาฯ ยังคงไม่แตะในรายละเอียด ยังคงให้ นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นรองประธาน พร้อมคณะกรรมการอีก 15 คน โดยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิหกคน ให้อำนาจนายกฯเป็นคนแต่งตั้ง

ส่วนอำนาจหน้าที่ของซูเปอร์บอร์ด ตามร่างของกฤษฎีกา ส่วนใหญ่ยังเหมือนกับร่างเดิมของกระทรวงการคลัง คือมีอำนาจครอบจักรวาล

ในร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวฯ ของคณะกรรมการกฤษฎีกาฯเขียนไว้อีกว่า ผู้จะได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร -กาสิโนได้  จะต้องประกอบด้วยธุรกิจสถานบันเทิงตามบัญชีแนบท้ายพระราชบัญญัตินี้อย่างน้อยสี่ประเภท ร่วมกับกาสิโน และต้องเป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทย มีทุนชำระแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท ใบอนุญาตมีอายุ 30 ปี และประเมินผลการดำเนินงานทุก 5 ปี เมื่อใบอนุญาตครบอายุ ให้คณะกรรมการนโยบายมีอำนาจให้การพิจารณาต่ออายุใบอนุญาตได้คราวละไม่เกินสิบปี

คณะกรรมการกฤษฎีกาฯยังเขียนไว้อีกว่า สำหรับพื้นที่กาสิโน ต้องจัดให้มีเขตบริเวณของกาสิโนแยกเป็นเอกเทศจากสถานประกอบธุรกิจสถานบันเทิงอื่น และผู้รับใบอนุญาตต้องควบคุมไม่ให้ผู้เข้าไปในกาสิโน มีพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสมหลายอย่างเช่น เข้าติดต่อ ชักชวน แนะนำตัว ติดตาม หรือรบเร้าบุคคลอื่น เพื่อการค้าประเวณีอันเป็นการเปิดเผยและน่าอับอายหรือเป็นที่เดือดร้อนรำคาญ ซึ่งรายละเอียดข้างต้นดังกล่าว พบว่าในร่างเดิมของกระทรวงการคลัง ไม่มีการเขียนไว้แบบลงรายละเอียดมากเท่ากับร่างของคณะกรรมการกฤษฎีกาฯ

จนถึงนาทีนี้ ท่าทีของแกนนำรัฐบาลเพื่อไทย ตั้งแต่ระดับตัวพ่อ อย่างอดีตนายกฯทักษิณ ตลอดจนบรรดารัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเช่น ‘จุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์’ รมช.คลัง ก็ยังไม่มีท่าทีติดใจกับร่างใหม่ของกฤษฎีกาเท่าไรนัก 

ซึ่งอาจจะมีการหารือกันภายในแล้วว่า เป้าหมายแรกในตอนนี้คือ การผลักดันให้ร่างกฎหมายนี้สามารถผ่านด่านหิน ลดกระแสค้านลงให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อให้ผ่านสภาฯในชั้นรับหลักการไปให้ได้ก่อน จึงค่อยไปแปรญัตติในชั้นกรรมาธิการวิสามัญ ก่อนจะนำเสนอในวาะ 2-3 ต่อไป

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์