เสียงบ่นจากชาวบ้านร้านช่องที่เริ่มไม่ค่อย ‘สบอารมณ์’ กับการทำงานของรัฐบาลนายกฯเศรษฐา ‘ชกลม’ เริ่มหนาหูขึ้นทุกที เพราะกว่า 7 เดือนผ่านไป เศรษฐกิจไทยที่เคยพร่ำบ่นมาตั้งแต่วันแรกของการทำงานว่าอยู่ในอาการ ‘โคม่า’ แต่จนป่านนี้ก็ยังปล่อยให้ชาวบ้านนอน ‘หยอดน้ำข้าวต้ม’ร้องโอดโอยต่อไป เพราะไปตั้งความหวังกับ ‘โครงการดิจิตอลวอลเล็ต’ ที่จะให้เป็น ‘ยาชุบชีวิต’ แต่ก็เจอโรคเลื่อนปล่อยให้ชาวบ้านทวงรายวันมาเรื่อยๆ จนไม่แน่ใจว่าสิ้นปีนี้จะได้เงินจริงหรือเปล่า?
ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่แค่ ‘เรทติ้ง’ ของ นายกฯเศรษฐา และพรรคเพื่อไทยจะดิ่งเหวคนเดียว แต่บรรดาพรรคร่วมก็จะโดนหางเลขไปด้วย ช่วงนี้ก็เลยเริ่มเห็นบางพรรคการเมืองเริ่มอดรนทนไม่ไหวขยับที่จะออกแรงดันนโยบายเรื่องอื่นๆกันออกมาบ้าง และเริ่มมีการพูดถึงนโยบายเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุที่ทุกพรรคเคยรณรงค์หาเสียงกันไว้ แต่ก็ดูจะเลือนหายไปเสียเฉยๆหลังการเลือกตั้ง
ความจริงปัญหาผู้สูงอายุของไทยเป็นเรื่องที่ทุกพรรคการเมืองตระหนักดี เพราะตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา ประเทศไทยก็ได้ก้าวเข้าสู่ ‘สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์’ (Aged Society) คือมีผู้สูงวัยอายุ 60 ปีขึ้นไป ถึงราว 12 ล้านคนของประชากรทั้งหมด หรือราว 19% และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นทุกปี แต่คนสูงวัยของไทยส่วนใหญ่ยังคงมีรายได้ไม่เพียงพอเลี้ยงชีพในยามเกษียณ
ในการเลือกตั้งทั่วไป ปี 2566 มีพรรคการเมืองอย่างน้อย 10 พรรค นำเสนอนโยบายการสร้างหลักประกันด้านรายได้ให้แก่ผู้สูงอายุ ผ่านนโยบายบำนาญแห่งชาติ และส่วนใหญ่ขายฝันว่าจะมีการเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุต่อคนเป็นเดือนละ 3,000-5,000 บาท
แต่ความหวังในการผลักดันนโยบายบำนาญแห่งชาติหรือการปรับเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุให้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 3,000 บาท ก็ค่อยๆริบหรี่ลง เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลผสมนำโดย ‘พรรคเพื่อไทย’ ซึ่งมีนโยบายสำคัญ คือ นโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ในกรอบวงเงิน 5 แสนล้านบาท
มาถึงนาทีนี้พรรคการเมืองที่จับเรื่องนี้ขึ้นมาจากลิ้นชัก และกำหนดเป็นเป้าหมายเพื่อให้มีผลงานเป็นรูปธรรม คือ พรรคชาติไทยพัฒนา ของ ‘ท็อป’ วราวุธ ศิลปอาชา รมว.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่ตั้งเป้าผลักดันการปรับเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุให้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยเป็นเดือนละ 1,000 บาทแบบถ้วนหน้า
บรรดาคีย์แมนของพรรคชาติไทยพัฒนาต่างมองตรงกันว่า หากพรรคชาติไทยพัฒนา ต้องการที่จะสร้างผลงานที่จะทำให้เป็นที่จดจำและได้แต้มทางการเมือง จำเป็นต้องมีผลงานบางอย่างของรัฐบาลชุดนี้ที่เกิดมาจากการผลักดันโดยพรรคอย่างชัดเจน และเรื่องที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด คือ การขึ้นเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่สามารถทำได้ทันที เพราะเรื่องนี้อยู่ในความดูแลของชาติไทยพัฒนาโดยตรง ซึ่งในเฟสแรกเม็ดเงินที่ต้องใช้ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนักจนกลายเป็นภาระทางการคลังของรัฐบาล
ล่าสุดที่อาจเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันวาระ ‘เบี้ยผู้สูงอายุ’ ให้เป็นจริง เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ หลังจาก “คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนสวัสดิการโดยรัฐ” ที่อยู่ภายใต้ ‘คณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม’ มีมติเห็นชอบการปรับเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุเป็นเดือนละ 1,000 บาทต่อคน ‘แบบถ้วนหน้า’ ก่อนนำเสนอเรื่องดังกล่าวให้คณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ที่มี ‘ภูมิธรรม เวชยชัย’ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เป็นประธานพิจารณาต่อไป
ปัจจุบันรัฐบาลมีการจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุแบบขั้นบันไดตามอายุ คือ เดือนละ 600 บาท 700 บาท 800 บาท และ 1,000 บาท แต่ต่อไปจะให้แบบถ้วนหน้า เริ่มต้นจากเดือนละ 1,000 บาททุกคน และปรับเพิ่มขึ้น เป็น 3 ระยะ จาก 1,000 บาท เป็น 2,000 บาท และ 3,000 บาท
มันสมองของชาติไทยพัฒนาเชื่อว่า การปรับเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุเป็นเดือนละ1,000 บาท เป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้และสามารถทำในปีงบประมาณ 2567 ได้ทันที เนื่องจากต้องเพิ่มวงเงินขึ้นมาอีกไม่มากนัก เนื่องจากเดิมมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อรองรับในเรื่องนี้อยู่แล้วราว 9 หมื่นล้านบาท ในขณะที่หากเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุขึ้นเป็น 1,000 บาท จะใช้วงเงินราว 1.45 แสนล้านบาท ซึ่งหมายความต้องโยกงบประมาณที่มีอยู่หรือซ้ำซ้อนกันมาจัดสรรเพิ่มเติมอีกราว 5-6 หมื่นล้านบาท ซึ่งน่าจะมีความเป็นไปได้
ขณะเดียวกันนอกเหนือจากการปรับเพิ่มเงินผู้สูงอายุหรือการเพิ่มสวัสดิการให้กับประชาชนนั้น จะมีการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีงานทำ เพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ตามความถนัดจากประสบการณ์ที่สะสมมาในช่วงก่อนเกษียณ
จากนี้ไปคงต้องติดตามดูว่า ชาติไทยพัฒนาจะผลักดันเรื่องนี้ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะหากจะต้องวัดกับ เรื่องดิจิทัล วอลเล็ต และ ล่าสุดเรื่องการเปิดกาสิโนถูกกฎหมาย การขึ้นเบี้ยยังชีพเป็นเดือนละ 1,000 บาท อาจจะถูกพรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญเป็นเรื่องท้ายๆหรือไม่ ทำให้บางที อาจถึงเวลาที่ ลูกท็อป รมว.วราวุธ ต้องออกอาวุธบ้างก็เป็นได้...
