ทำคลอดกันไปเรียบร้อยแล้ว ครม.อิ๊งค์ 1 แม้จะมีการเปลี่ยนตัวกันเอาในนาทีเกือบสุดท้าย แต่ก็คลอดออกมาได้ทันตามกำหนดเวลาเดิมพอดีในวันที่ 4 กันยายน 2567
ถัดจากนี้หลังเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนตามขั้นตอนแล้ว ก็จะลุยงานทันทีอีกเหมือนกัน รอช้าไม่ได้ เพราะเงินงบประมาณปี2567 จะสิ้นสุดปีปฏิทินในวันที่ 30 กันยายนนี้แล้ว
ขืนมัวโอ้เอ้วิหารรายมีสิทธิ์วืด!!
อดได้ใช้เงินแสนกว่าล้านบาท ที่กันไว้ใช้ในโครงการ ‘แจกเงินหมื่น’ แถมยังจะถูกประชาชนกลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน ที่รอกันใจจดใจจ่อรุมทึ้งเอาได้ง่ายๆ เพราะบางรายอาจจะเอาเงินในอนาคตมาใช้ล่วงหน้าแล้วด้วย
แต่ก่อนจะแจกเงินหมื่น ครม.อิ๊งค์ 1 ซึ่งนอกจากไม่มีเวลาได้ฮันนีมูนแล้ว ระหว่างรอแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 12-13 กันยายน คงต้องคอยรับมือฝ่ายแค้น ที่นัดหมายเปิดเวทีอุ่นเครื่องต้าน ‘ระบอบชินวัตร’ ในวันเดียวกับที่มีการประชุมครม.นัดพิเศษ วันเสาร์ที่ 7 กันยายนนี้ด้วย
โดยศัตรูเก่า ศัตรูใหม่ของ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ได้นัดหมายมาเจอกันที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา 4 แยกคอกวัว เพื่อเริ่มต้นศักราชใหม่ในการต่อต้านระบอบทักษิณ ซึ่งเปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า ‘เปิดโปงระบอบชินวัตร #1’ ที่ต่อยอดมาจากการเคลื่อนไหว Save กระบวนการยุติธรรม ในรอบหนึ่งปีเศษที่ผ่านมา
นอกจากนั้น การเปิดเกมรุกผ่าน ‘นิติสงคราม’ ฉบับบ้านป่า ที่มี ‘ไพบูลย์ นิติตะวัน’ เป็นหัวเรือใหญ่ ก็จะเปิดฉากยื่นร้องเอาผิดผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี หลังโฉมหน้าครม.ชุดใหม่ปรากฎออกมา ได้เห็นเป้ากันไปชัดๆ ว่ามีใครบ้างที่เข้าข่ายมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ
อดีต สว.มือสอย เศรษฐา ทวีสิน เห็นชื่อ แซ่ แล้วบอกยื่นร้องได้เลย
งานนี้หากใครมีปัญหาข้อกฎหมาย ก็ถือเป็นความผิดสำเร็จ ดิ้นหนีไปไหนไม่ได้ทั้งคนตั้งและคนเป็นรัฐมนตรี ศึกนี้จึงไม่ธรรมดาสำหรับนายกฯ อายุน้อย 100 คำร้อง ที่จะฝ่าด่านไปได้ง่ายๆ
ทีนี้ไปดูเรื่องนโยบายฉบับ ‘ผลัดกันเกาหลัง’ ของรัฐบาล ที่ตอนนี้ถูกเรียกเป็น ‘ครม.100 ฉายา’ ไปแล้ว ทั้ง ครม.ครอบครัว-ครอบครอง-ครอบงำ, ครม.ญาติกา-สายโลหิต-วงศาคณาญาติ ไปจนถึง ครม.ฝึกหัด
ดูแล้วนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ที่จะแถลงต่อสภา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลเดิม มีเพียงประชาธิปัตย์ ที่เติมเข้ามาใหม่ ดังนั้น จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมากนัก เนื่องจากเป็นการยกเอาของเดิมมาทั้งดุ้น แค่ปรับตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย ก็น่าจะนำมาแถลงต่อสภาได้
แต่ชีวิตจริงคงไม่ได้ง่ายอย่างนั้น
เพราะตลอดเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา มีหลายเรื่องที่เกิดการขัดลำกล้องกันขึ้น โดยเฉพาะสองพรรคใหญ่ ‘เพื่อไทย-ภูมิใจไทย’ ที่เปิดศึกกันผ่านหน้าสื่อ จนนายกฯ ในขณะนั้น ต้องเรียกไปเคลียร์
เอาเป็นว่า การแถลงนโยบายรัฐบาลเที่ยวนี้ เรื่องไหนที่ขบเหลี่ยม เหยียบตาปลากันมา ทั้งสองพรรคคงต้องมาคุยกันด้วยภาษาดอกไม้เสียใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการนำ ‘กัญชา’ กลับไปเป็นยาเสพติด สถานบันเทิงครบวงจร หรือบ่อน ‘กาสิโน’ ที่ยังขบๆ กันอยู่
รวมทั้งนโยบาย ‘แจกเงินหมื่น’ ที่เป็นนโยบายเรือธงของเพื่อไทย แม้จะนำมาเป็นนโยบายรัฐบาลก็จริง แต่พอผลักดันออกไปแล้ว ดูเหมือนเพื่อไทยจะตีกินอยู่พรรคเดียว พรรคร่วมอื่นๆ นำไปหาเสียงกับชาวบ้านไม่ได้
เพราะฉนั้น การจัดทำนโยบายรัฐบาลครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทย คงต้องใช้วิธีพบกันครึ่งทาง หรือผลัดกันเกาหลัง เพื่อให้ ‘วิน-วิน’ กันทั้งสองพรรค โดยเฉพาะหนังตัวอย่างจากการออกมายืนขวางบ่อนกาสิโน 4 ข้อ ของพรรคภูมิใจไทย อันประกอบด้วย
1.ร่างกฎหมายนี้ไม่ได้แก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมาย และอาจทำให้มีทั้งการพนันใต้ดินและบนดิน
2.เรื่องผลประโยชน์ต่อรัฐและต่อประชาชน รู้สึกว่ายังไม่ค่อยชัดเจน ยังไม่มากพอสำหรับการลงทุนทำเรื่องนี้
3.ผลกระทบในเชิงขับเคลื่อนและกระตุ้นการท่องเที่ยว ไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าการทำกาสิโนจะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศไทย เพราะมีหลายสิ่งที่เป็นเสน่ห์ของนักท่องเที่ยว แต่การพนันไม่ใช่หนึ่งในนั้น
4.เนื้อหาในร่างดังกล่าว ยังไม่เห็นมาตราไหนที่ระบุเรื่องการอำนวยช่วยเหลือ หรือดูแลแรงงานชาวไทยในการจ้างงาน
ทั้ง 4 ข้อที่ว่ามา ล้วนเป็นโจทย์หิน ที่ไปในทางเดียวกับฝ่ายต้านไม่เอาบ่อนการพนัน ต้องดูว่าภูมิใจไทยจะเอี้ยวตัวกลับลำกันอย่างไร ‘หากผลประโยชน์ลงตัว’ โดยเฉพาะตามข่าวที่บอกว่าการออกมาเรียงแถวหน้ากระดานค้าน เป็นแค่ลีลาไม่ให้อีกฝั่งกินรวบเท่านั้น
สุดท้ายสองพรรคใหญ่ ใครจะได้ตรงไหนหรือเสียตรงไหนบ้าง ให้รอดูสามเรื่องข้างต้นที่จะนำมาแถลงต่อรัฐสภา หน้าตาจะออกมาเป็นอย่างไร
สำหรับพรรคเล็กพรรคน้อยทั้งหลาย รวมทั้งประชาธิปัตย์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ คงไปต่อรองอะไรไม่ได้ อย่างมากก็ได้แค่เกาอย่างอื่นรอไปพรางก่อนเท่านั้น
