โชว์กินข้าวเน่า พา ‘ปู’ กลับบ้าน

7 พ.ค. 2567 - 09:01

  • เพื่อไทยการแสดง กับโชว์หุงข้าวค้างโกดัง 10 ปี

  • ยืนยันคุณภาพข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวสมัย ยิงลักษณ์ ชินวัตร

  • อย่าลืมตรวจสอบคุณภาพข้าว ก่อนที่จะส่งขายตลาดโลก

deep-space-phoomtham-rice-pawn-project-warehouse-cook-SPACEBAR-Hero.jpg

คงเป็นเรื่องจริงกับคำกล่าวที่ว่า เมื่อกระโจนลงสู่สนามการเมือง สิ่งสำคัญคือต้องพร้อมจะยอม ‘ขายวิญญาณให้ปีศาจ’ หากหวังจะมีที่หยัดยืนอย่างมั่นคง เห็นได้ชัดจากบรรดานักการเมืองรุ่นเก่าที่แวดล้อมอยู่ใจกลางศูนย์อำนาจของพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน

หากมีการจัดอันดับ เชื่อว่าชื่อของ ‘พี่อ้วน’ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ที่อุทิศตนให้กับคนใน ‘ตระกูลชินวัตร’ มาอย่างยาวนานตั้งแต่ยุคก่อตั้งพรรคไทยรักไทยมาจนถึงพรรคเพื่อไทย น่าจะได้รับความไว้วางใจจาก ‘นายใหญ่’ ทักษิณ ชินวัตร ในระดับสูงสุดเป็นเบอร์ต้นๆอย่างแน่นอน

ยิ่งหากวัดความสำเร็จจากการเดินเกมการเมืองในช่วงจัดตั้งรัฐบาล ที่ยอมเสียฟอร์มรุ่นใหญ่เดินหมากพิสดารในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ‘พลิกขั้ว’ จากก้าวไกลมาจับมือกับขั้วพรรครัฐบาลเดิม พลิกกลับมาเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลเศรษฐาได้สำเร็จ จนทำให้ก้าวขึ้นมานั่งควบถึงสองตำแหน่ง คือรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ 

มาถึงวันนี้ไม่ว่าเรื่อง ‘ดีลลับลังกาวี’ จะมีจริงหรือไม่ แต่ภารกิจในการพาสองพี่น้องกลับบ้างยังไม่เสร็จสิ้น ยิ่งนายใหญ่มีการกำหนดเป้าหมายจะให้น้องสาวกลับมาในราวเดือนตุลาคม การเดินเกมเพื่อสร้างภาพให้เห็นว่า โครงการรับจำนำข้าวในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่ได้สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงเหมือนที่มีการกล่าวอ้างกัน จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำให้เป็นที่ประจักษ์กับสายตาคนทั่วไป เพื่อลดแรงต้านการกลับมาในขณะที่ยังมีโทษจำคุกถึง 5 ปีรออยู่ให้เบาบางลง

เพราะเหตุนี้ถึงแม้สำหรับสื่อบางสำนัก และคนทั่วไปอาจจะมองว่า ‘มหกรรมกินข้าวค้างสต็อค 10 ปี’ อีเวนต์ที่ ‘ภูมิธรรม โปรดักชั่น’ เพิ่งจัดฉากเสร็จสิ้นลงไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (6 พฤษภาคม 2567) ที่โรงสีในจังหวัดสุรินทร์ จะเป็นการประกาศ

ให้โลกรู้ว่า ข้าวในโครงการจำนำข้าวที่เก่าเก็บมาถึง 10 ปี ยังอยู่ในสภาพไม่มีปัญหาสามารถเอามาหุงกินได้อย่างสุดอัศจรรย์

แต่สำหรับคนในแวดวงค้าข้าวต่างมองว่า ทั้งหมดเป็นเพียง ‘ตลกร้าย’  ฉากใหญ่ที่มีเจตนาเพียงการสร้างภาพให้มีการนำไปขยายความต่อ เพื่อล้างภาพลบในอดีต เหมือนที่ ‘นายใหญ่’ เคยจัดฉากการกินไก่โชว์ กลางสนามหลวง ตอนเกิดวิกฤตไข้หวัดนก เมื่อ20 ปีที่แล้ว 

ข้าวหอมมะลิ 100% จำนวน 145,590 กระสอบ หรือราว 1.5 หมื่นตันดังกล่าว ถูกฝากเก็บไว้ที่โกดังสองแห่ง คือ ‘คลังกิตติชัย’ ที่ อ.ปราสาท สุรินทร์ และ ‘คลังของ พูลผล เทรดดิ้ง’ ที่ อ.เมือง สุรินทร์ มายาวนานถึง 10 ปี และเป็นข้าวล็อตสุดท้ายที่เหลืออยู่ ตามโครงการรับจำนำข้าว ที่หวังจะนำมาเปิดประมูลขายทิ้งเพื่อเคลียร์บัญชีภายในเดือนนี้

รองอ้วน ภูมิธรรรม ลงทุนพาบรรดาสื่อมวลชนไปตรวจสอบเพื่อจะพิสูจน์และยืนยันว่าข้าวยังอยู่ในสภาพดี และถึงแม้จะเก็บอยู่ในโกดังมากว่า10 ปี แต่ก็สามารถนำมาหุงกินได้ ถึงขนาดมีการสาธิต ‘หุงข้าว’ ให้กับบรรดาสื่อมวลชนที่ร่วมลงพื้นที่ทดลองชิมข้าวสวยจากโกดังทั้ง 2 แห่ง ร่วมกับ ผัดกะเพราไก่ และไข่เจียว

กระทรวงพาณิชย์ วางแผนว่าจะนำข้าวดังกล่าวออกประมูลขายในเดือนนี้ โดยมีการตั้งราคากลางไว้ราว กก.ละ 18 บาท ซึ่งหากขายได้ทั้งหมดคาดว่าจะได้เงินกลับมาราว 250-270 ล้านบาท เพื่อนำไปจ่ายค่าฝากเก็บ และเอาเงินส่วนที่เหลือเข้ารัฐ แต่หากคิดเฉพาะต้นทุนเนื้อข้าวเมื่อสิบปีที่แล้ว ก็สูงเฉลี่ยถึงราว กก.ละ 40-45 บาท ซึ่งหากรวมกับค่าฝากเก็บตลอดสิบปีที่ผ่านมา ต้นทุนปัจจุบันอาจจะสูงถึง กก.ละ 100 บาท เท่ากับต้องขาดทุนมหาศาล

อย่างไรก็ตามคาดว่าถึงอย่างไรคงมีผู้ส่งออกเพียงไม่กี่รายที่จะสนใจมาประมูลซื้อ หากไม่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนในพรรคเพื่อไทยที่อาจต้องมาร่วมเล่นละครฉากต่อไป เพราะต้องยอมรับว่าข้าวดังกล่าวไม่มีคุณภาพที่ดีพอจะสามารถขายส่งออกไปต่างประเทศ

โดยเชื่อว่าในที่สุด ‘เสี่ยแอร์’ จาก ธนสรร ไรซ์ ผู้ส่งออกของไทย ที่เป็นเจ้าของโรงสีขนาดใหญ่ที่สุรินทร์ ซึ่งมีความใกล้ชิดกับพรรคเพื่อไทยคงจะเป็นผู้ประมูลได้ไป

สิ่งที่น่าแปลก คือบรรดาสื่อมวลชนที่ไปทำข่าวไม่นึกสงสัย หรือ ‘เอะใจ’ ว่าทำไมข้าวสารจำนวนนี้ถึงยังถูกเก็บไว้ในโกดังมาถึงกว่า10 ปี โดยไม่มีการขายทิ้งออกไป ซึ่งหากสืบย้อนกลับไปจะพบว่า ข้าวจำนวนนี้ถูกประมูลขายไปแล้ว และผู้ประมูลได้ก็คือเจ้าของโกดัง แต่กลับไม่ยอมรับมอบข้าวตามสัญญา จนมีปัญหาคดีความกับองค์การคลังสินค้า หรือ อคส. มายาวนานเป็นสิบปี กลายเป็นภาระให้ อคส.ต้องฝากเก็บข้าวเอาไว้ และเพิ่งเคลียร์คดีความกันได้เรียบร้อยแล้ว จึงต้องนำออกมาประมูลขายเพื่อเอาเงินเข้ารัฐ และจ่ายค่าฝากเก็บอีกหลายสิบล้านบาท 

นอกจากนี้เป็นไปได้หรือไม่ว่า ข้าวจำนวนกว่า 1.5 แสนกระสอบดังกล่าว ซึ่งถูกฝากเก็บไว้ในโกดังมาถึง 10 ปี จะเป็นข้าวเก่า เพราะตลอดสิบปีของการฝากเก็บก็ต้องมีการปรับปรุงสภาพข้าวมาเป็นระยะๆ คือนำข้าวใหม่เข้าไปผสม และผ่านการรมยาเพื่อกันมอด แมลง ซึ่งเจ้าของโกดังเองก็ยอมรับว่ามีการรมยาเฉลี่ยทุก 1-2 เดือน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง จะมีสารเคมีตกค้างมากขนาดไหน แต่ในการไปตรวจสอบข้าวสารจำนวนนี้ กลับไม่มีการพิสูจน์เรื่องสารตกค้าง 

ที่สำคัญหากนำข้าวดังกล่าวส่งออกไปขายต่างประเทศจะมีความ  ‘สุ่มเสี่ยง’ มากขนาดไหน ที่อาจจะกลายเป็นการทำลายชื่อเสียงของข้าวไทยในระยะยาว เพราะปัญหาเรื่องคุณภาพของข้าว 

อีเวนต์ มหกรรมกินข้าวค้างสต็อค 10 ปี ที่เกิดขึ้น จึงไม่อาจมองได้เป็นอย่างอื่น นอกเสียจากเป็นเพียงปฎิบัติการสร้างภาพ แบบตื้นๆ ที่หวังผลจะมีส่วนในการช่วยพลิกคดีทุจริตจำนำข้าวโดยหวังให้สังคมเชื่อว่า โครงการนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายมหาศาลอย่างที่ถูกโจมตีตลอดสิบปีที่ผ่านมา เพื่อปูทางไปสู่การนำน้องสาวกลับมา...

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์