ระวังไฟในนาคร การเมืองไทยรอซ้อน-การเมืองเขมรรอแทรก ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา EP.1

21 ก.พ. 2568 - 04:47

  • 2 คลิป บริเวณปราสาทตาเมือนธม สุรินทร์ ทำชายแดนไทย-กัมพูชา มาคุ

  • 2 ประเทศ ต้องรุกเคลื่อนไหว หาจุดยุติความขัดแย้ง

  • หลังยังเกรง กลุ่มการเมืองกระพือในโซเชียล จนบานปลาย

deep-space-politics-thailand-cambodia-border-problems-SPACEBAR-Hero.jpg

สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จ.สุรินทร์ ที่กลับมาคุกรุ่นขึ้นอีก เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เมื่อปรากฏคลิปวีดีโอ 2 เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในบริเวณพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ออกมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์

คลิปแรกเป็นคลิปที่มีกลุ่มแม่บ้านกัมพูชากลุ่มหนึ่ง เข้ามาร้องเพลงปลุกใจชาวกัมพูชาในพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม จากนั้นทหารไทยเข้าไปขอให้หยุด และเชิญลงจากตัวปราสาท พร้อมผลักดันกลับข้ามในเขตแดนกัมพูชา 

อีกคลิป เป็นคลิปที่มีการถกเถียงกันระหว่างนายทหารกัมพูชานายหนึ่งกับทหารไทยบริเวณแนวเขตแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นจุดทางขึ้นปราสาทตาเมือนธมจากฝั่งกัมพูชา คลิปนี้ต่อมาได้มีการเปิดเผยข้อมูลว่า นายทหารนายนั้น คือ นายพล เนี๊ยะ วงศ์ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 42 ซึ่งเป็นหน่วยคุมกำลังของกัมพูชาในบริเวณนั้น

ทั้งสองคลิปที่ถูกเผยแพร่…เป็นประเด็นร้อนที่ทำให้ทั้งสองประเทศต้องมาเคลื่อนไหวเพื่อหาข้อยุติความขัดแย้ง…ที่อาจจะบานปลาย 

ฝั่งไทย พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่าได้สั่งการให้ พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 6 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ทำจดหมายประท้วงไปยังฝั่งกัมพูชาทันที พร้อมย้ำว่า ให้ชี้แจงฝั่งกัมพูชาและกำชับอย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก 

เนื่องจากครั้งนี้เป็นครั้งที่สองในรอบ 5 เดือน ที่มีความพยายามนำมวลชนมาร้องเพลง และทำกิจกรรมในพื้นที่ดังกล่าว 

‘แม่ทัพกุ้ง’ ยืนยันว่า ครั้งแรกเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2567 และไทยได้มีจดหมายประท้วงไปแล้ว ครั้งนี้เมื่อเกิดขึ้นซ้ำอีก ฝ่ายไทยจำเป็นต้องประท้วงซ้ำ และเพิ่มเติมการพูดคุยนอกรอบว่า ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นอีก เพราะหากเกิดขึ้น ฝ่ายไทยจำเป็นต้องมีมาตรการที่เข้มงวดกว่านี้ ซึ่งเป็นมาตรการที่ไทยไม่อยากให้เกิดขึ้น

มีรายงานว่า มาตรการเข้มข้น อาจถึงขั้นที่ไทยจำต้องปิดทางขึ้นชั่วคราว ฝั่งที่กัมพูชาทำเป็นช่องทางเพื่อขึ้นมาจากกัมพูชา และทันทีที่ปิดทางขึ้นฝั่งนี้ ชาวกัมพูชาจะไม่สามารถขึ้นไปท่องเที่ยวบริเวณปราสาทตาเมือนธมได้ เนื่องจากกลุ่มปราสาทตาเมือนทั้งหมดที่มี 3 หลัง ทั้งตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด และตาเมือน (บายกริม) มีทางเข้าหลักอยู่ในฝั่งไทย

นอกจากนั้นการปิดทางขึ้นจากฝั่งกัมพูชาในช่วงเวลานี้ ก็อาจกระทบกับช่องเทศกาลสงกรานต์ที่คนกัมพูชา นิยมข้ามมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในปราสาทตาเมือนธมอีกด้วย 

ความคุกรุ่นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาล่าสุด แม้ผู้บังคับบัญชาทหารทั้งสองฝ่ายมีความพยายามพูดคุยและไกล่เกลี่ยเพื่อหาข้อยุติ 

ฝั่งกัมพูชาให้เหตุผลถึงสาเหตุที่ พล.ต.เนี๊ยะ วงศ์ เกิดอาการหงุดหงิด และขึ้นมาปะทะคารมกับฝ่ายไทย เนื่องจากคณะแม่บ้านทั้งหมด เป็นภรรยาของนักการเมืองในพื้นที่ และพล.ต.เนี๊ยะ วงศ์เป็นผู้ประสานงานนำเข้าไปเที่ยวชม เมื่อเกิดปัญหาขึ้น จึงดูเหมือนฝ่ายไทยไม่ให้เกียรติ  

ประการสำคัญ การผลักดันก็ใช้นายทหารชั้นผู้น้อยมาพูดคุย ขณะที่ตัว นายพลเนี๊ยะ วงศ์ เป็นถึงผู้บัญชาการกองพลทหารราบ การพูดคุยที่มี เนียม จันญาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย เป็นตัวแทนฝ่ายกัมพูชา และมีพันโท จักรกฤษณ์ ปิยะศุกฤกษ์ ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 23 เป็นตัวแทนฝ่ายไทย โดยมีพล.ต.เนี๊ยะ วงศ์ ร่วมคณะฝ่ายกัมพูชามาด้วย เหมือนจะมีข้อยุติร่วมกันที่จะมิให้เกิดการกระทบ กระทั่งกันอีก

แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ท่าทีของทั้งสื่อสังคมออนไลน์ของทั้ง 2 ประเทศ ทั้งกลุ่มการเมืองของทั้ง 2 ประเทศ ที่ยังหยิบยกประเด็นข้อพิพาทบริเวณปราสาทตาเมือนธม ขึ้นมาสร้างกระแสความขัดแย้งของทั้ง 2 ประเทศ 

ในโลกออนไลน์ฝั่งกัมพูชา ยกย่อง พล.ต.เนี๊ยะ วงศ์ ให้เป็นฮีไร่ ที่กล้านำคณะมวลชนขึ้นไปแสดงสิทธิบนปราสาทตาเมือนธม ที่กัมพูชาเชื่อว่า อยู่ในเขตแดนของกัมพูชา

ขณะที่ฝั่งไทย กลับพยายามทำให้เห็นว่า มาตรการตอบโต้ของไทยในแง่จดหมาย เป็นท่าทีที่เบาเกินไป ไทยน่าจะมีมาตรการที่เข้มข้นกว่านั้น และรัฐบาลที่นำโดย ‘นายกอิ๊งค์’ แพทองธาร ชินวัตร และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ‘ภูมิธรรม  เวชยชัย’ ดูจะมีความเกรงใจรัฐบาลกัมพูชามากเกินไป โดยเฉพาะ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ควรมีมาตรการตอบโต้กัมพูชามากกว่านี้

สังคมออนไลน์ของทั้งสองประเทศ ต่างเผยแพร่ภาพกำลังรบและแสนยานุภาพของทั้ง 2 ฝ่าย และเรียกร้องให้มีการเพิ่มกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ในพื้นที่แนวชายแดนให้มากขึ้น เพื่อพร้อมต่อการรับมือเหตุที่อาจจะบานปลาย

ขณะที่ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในแต่ละประเทศ เริ่มเพิ่มดีกรีความเข้มข้นมากขึ้น การเมืองไทย ทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน ยังสงวนท่าทีต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้ 

ฝั่งไทยมีเพียงการเมืองนอกสภาจากกลุ่มมวลชนบางกลุ่ม ที่พยายามเคลื่อนไหวให้เห็นถึงความอ่อนแอของนายกรัฐมนตรี ‘แพทองธาร’ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ‘ภูมิธรรม’ ที่ No Reaction ต่อเหตุการณ์นี้ 

แม้ ภูมิธรรม จะออกมาระบุว่า ได้พูดคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา พล.อ.เตีย เซรยฮาแล้ว และได้รับแจ้งว่าทางกัมพูชาเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ขณะที่ฝั่งกัมพูชา กลับมีท่าทีที่สวนทางกัน เมื่อ พลเอกสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกมาเคลื่อนไหวในระดับที่เรียกว่า Over Reaction

แม้ พล.อ.ฮุน มาเนต จะเรียกร้องให้มีการเจรจาอย่างสันติ และอย่านำการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหา เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะซับซ้อนมากขึ้น แต่ก็พร้อมใช้กำลังทางทหาร หากถูกรุกรานจากนอกประเทศ 

พล.อ.ฮุน มาเนต พูดในสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญว่า กัมพูชาพร้อมปกป้องอำนาจอธิปไตยของประเทศ และขอสงวนสิทธิในการปกป้องตนเองด้วยวิธีการใดๆ ก็ตาม รวมถึงการใช้กำลังทหาร หากประเทศใดใช้กำลังรุกรานกัมพูชา

ความเคลื่อนไหวทั้งบริเวณแนวชายแดนที่พยายามดับไฟความขัดแย้ง ท่าทีของโลกโซเชียลที่กำลังร้อนแรง และ Action ของรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ ที่มีนัยยะของการสงวนท่าที เป็นปฏิกริยาที่ต้องมองไปทีละช็อต 

ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่เรื่องของน้ำผึ้งหยดเดียว แต่เป็นไฟสุมขอนที่พร้อมปะทุขึ้นได้ตลอด บนเชื้อเพลิงของความขัดแย้ง เชื้อปะทุของปัญหาเส้นเขตแดนที่ถูกชาติตะวันตกกำหนดเส้นแบ่งเขตในฐานะประเทศเจ้าอาณานิคม และในฐานะประเทศมหาอำนาจในขณะนั้น

ปราสาทตาเมือนธม อยู่ใกล้แนวเส้นเขตแดนที่เคยพิพาทกรณีเขาพระวิหาร และเคยเป็นจุดปะทะที่ทหารทั้ง 2 ประเทศ บาดเจ็บและเสียชีวิตมาแล้วในปี 2554 

ครั้งนี้หากไม่ระวัง และไม่ละเอียดอ่อน ประเด็นปราสาทตาเมือนธม อาจถูกลากเข้าไปสู่แนวพิพาทเส้นเกาะกูด ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงจากปัญหา MOU-2543

ประการสำคัญที่ต้องระมัดระวังมากที่สุด คือ เมื่อการเมืองในกัมพูชาร้อนแรง เมื่อบารมีของพล.อ.ฮุน มาเนต ยังไม่มากพอที่จะเทียบเคียง สมเด็จฮุนเซน ผู้เป็นพ่อเคยใช้ประเด็นข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นมาสร้างฮีโร่ของประเทศ เหมือนเมื่อครั้งกรณี กบ สุวนันท์ คงยิ่ง จนเกิดประท้วงบานปลายและบุกเผาธุรกิจของคนไทยในกรุงพนมเปญ ก็มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้อีก 

โดยเฉพาะต้องไม่ลืมว่า ครั้งข้อพิพาทเขาพระวิหารเมื่อปี 2554 พล.อ.ฮุน มาเนต ในฐานะผู้บัญชาการรบฝั่งกัมพูชา ต้องพลาดท่า จนกำลังรบเกือบละลายทั้งกองพลมาแล้ว

ครั้งนี้ หากมีโอกาสที่จะกอบกู้ศักดิ์ศรี แล้วสร้างบารมีให้กับตัวเอง ก็อย่ามองข้ามว่า ฮุน มาเนต จะไม่ทำ 

ปัญหาชายแดนไทย – กัมพูชาจึงต้องระวังอย่างยิ่ง ระวังไฟในนาคร อย่าให้โหมลุกลามขึ้นมาอีก

ใครคิดจะจุดไฟกันอีก ก็ควรคิดใหม่ เพราะหากไฟติดแล้ว ‘ดับยาก’ อย่าให้ถึงขั้นต้องดับด้วยเลือดเนื้อของคนในชาติอีกเลย

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์