ปทุมธานีโมเดล สูตรหนีส้มฟีเวอร์ในสนาม อบจ.

ในระหว่างที่กำลังจะมีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา(สว.)ชุดใหม่ สัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวการลาออกของนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด บางจังหวัดในพื้นที่ภาคกลาง เป็นคิวแทรกขึ้นมา เวลาเดียวกับการเปฺิดตัวว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.ชุดแรกของพรรคเพื่อไทย

ไม่ว่าเรื่องนี้ จะมีความเชื่อมโยงถึงกันหรือไม่ก็ตาม แต่ในทางข่าวถูกมองเป็นการจับมือกันของพันธมิตรการเมืองในปีกรัฐบาล เพื่อสู้กับพรรคก้าวไกล ในสนามท้องถิ่นที่กำลังจะมีขึ้นในช่วงต้นปีหน้า

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ อบจ.และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด(ส.อบจ.) มีขึ้นครั้งแรกหลังรัฐประหาร คสช.เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2563 โดยเลือกตั้งพร้อมกันคราวเดียว 76 จังหวัด ซึ่งจะครบวาระ 4 ปี ในวันที่ 19 ธันวาคมนี้

แต่เนื่องจาก พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น จำกัดอำนาจการบริหารของนายก อบจ.ในช่วงท้ายก่อนครบวาระเอาไว้ โดยเฉพาะการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ และกฎกติกาที่หยุมหยิมเมื่อเข้าสู่ช่วง 180 วันสุดท้าย ที่ต้องอยู่อย่างระมัดระวัง ประคองตัวเองไม่ให้มีปัญหาในการลงสมัครสมัยที่สอง

ด้วยเหตุที่ว่าจึงทำให้นายก อบจ.บางแห่ง ‘ชิงลาออกก่อน’  เพื่อไม่ให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในโซน 180 วันอันตราย

‘พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง’  นายกอบจ.ปทุมธานี ซึ่งหมวกอีกใบเป็นประธานสมาพันธ์นายก อบจ.ภาคกลาง เป็นอีกคนที่ตัดช่องน้อย ลาออกก่อนครบวาระด้วยเหตุผลที่ว่านั้น

‘ในช่วงที่เหลือเวลาอยู่ 6 เดือน ก่อนหมดวาระในวันที่ 19 ธันวาคมปีนี้นั้น พวกเราไม่สามารถดำเนินการอะไรได้เลย เพราะจะต้องอยู่ในกติกาของการเลือกตั้ง เบิกจ่ายเงินไม่ได้โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนสุดท้าย พวกเราจึงตัดสินใจด้วยกันในฐานะประธานสมาพันธ์นายก อบจ.ภาคกลาง ทุกคนจึงมีความเห็นว่าหากเราช่วยเหลือประชาชนไม่ได้ เราก็จะไม่อยู่ เพราะพวกเราคำนวณแล้วว่าปีนี้น้ำเยอะแน่นอน จึงต้องลาออกโดยได้ตัดสินใจลาออกทั้ง 3 จังหวัด คือ ปทุมธานี นครสวรรค์ และอ่างทอง’

พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้ยื่นใบลาออกจากนายก อบจ.ปทุมธานี ไปตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา พร้อมบอกจะมีจังหวัดอื่นๆ ลาออกตามอีกหลายแห่ง

เหตุผลการลาออกฟังดูดีเอาประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นตัวตั้ง

แต่ถอดดูไส้ในแล้ว มีเหตุผลทางการเมืองอื่นซุกซ่อนอยู่ ซึ่งไม่ใช่แค่ข้อจำกัดเรื่องการบริหารงานก่อนครบเทอมอย่างที่กล่าวอ้าง หากมีปัญหาการแข่งขันในสนามเลือกตั้ง ที่ต้องโคจรมาเจอกับคู่ต่อสู้อย่างพรรคก้าวไกล ที่นับวันมีแต่จะแกร่งเพิ่มขึ้น เป็นตัวกระตุ้นให้ชิงลาออกก่อน

แผนยิงนกทีละตัวหนีกระแสส้มฟีเวอร์ จึงถูกกำหนดขึ้นจากมันสมองอัน ‘ปราดเปรื่อง’ ของคนการเมืองระดับ ‘ครูใหญ่เมืองปราสาท’ เพื่อเลี่ยงการปะทะแบบใช้ทัพหลวง มาเป็น ‘ทะยอยเลือกทีละสนาม’ ซึ่งสามารถระดมสรรพกำลังไปช่วยแบบ ‘จุลกฐินการเมือง’ ทีละจุดๆ ได้คล่องตัวกว่า 

สูตรนี้น่าจะรักษาที่มั่นการเมืองท้องถิ่นไว้เป็นฐานการเมืองใหญ่ในอนาคตเอาไว้ได้

หากขืนปล่อยให้เลือกพร้อมกันในคราวเดียว มีโอกาสสูงที่จะ ‘เพลี่ยงพล้ำ’ ให้กับคนของพรรคก้าวไกล ที่วันนี้กระแสความร้อนแรงยังไม่มีทีท่าจะแผ่วลง จึงต้องพลิกเกมรบทีละสนาม และชิงจังหวะในช่วงที่คู่แข่งยังสาละวนกับการจัดทัพไม่เสร็จ

ที่สำคัญการเลือกตั้งนายก อบจ.หนนี้ มีการแก้ไข พ.ร.บ.เลือกตั้งท้องถิ่นปลดล็อกให้ ‘พรรคการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองลงไปช่วยผู้สมัครหาเสียงได้อย่างเต็มที่’ ไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยนเป็นอีแอบเหมือนที่ผ่านมา จะเห็นได้จากการทะยอยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.ของพรรคเพื่อไทย ในวันเดียวกับการลาออกของ  ‘บิ๊กแจ๊ส’

วันนั้น ถ้าไม่มีประเด็นการชกข้ามรุ่นของ ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร ที่ออกมาขย้ำแบงก์ชาติ ว่าเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศแล้ว คงจะมีผู้ให้ความสนใจชื่อ ‘อัครา พรหมเผ่า’  ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.พะเยา น้องชายแท้ๆ ของ ‘ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า’  เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่มาเปิดตัวสวมเสื้อเพื่อไทยด้วย

เอาเป็นว่า การเลือกตั้งนายกอบจ.ที่จะมีขึ้นต่อจากนี้ รอดูว่าจังหวัดไหนที่เป็นพื้นที่ยึดครองของพรรครัฐบาลโดยเฉพาะเพื่อไทยและภูมิใจไทย คงจะได้เห็นการทะยอยลาออกก่อนครบวาระ เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน ตามสูตร ‘ปทุมธานีโมเดล’ เพื่อง่ายแก่การรักษาฐานที่มั่นการเมืองเอาไว้

เพราะเทอมของผู้บริหารท้องถิ่นกำหนดวาระไว้ที่ 4 ปี ไม่ว่าจะเข้ามาในวันไหนก็เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ไปจนครบ 4 ปี ต่างจากสมาชิกสภาท้องถิ่น หากมีการเลือกตั้งซ่อมแทนตำแหน่งที่ว่าง ผู้ที่เข้ามาแทนจะอยู่ในตำแหน่งเท่าที่เหลืออยู่ตามอายุของสภาท้องถิ่นเท่านั้น 

เลือกตั้งนายกอบจ.เที่ยวนี้ พรรคก้าวไกล ออกตัวนำไปก่อนใครในหลายพื้นที่ แต่เมื่อเจอเข้ากับแผน ปทุมธานีโมเดล รอดูว่าชาวค่ายสีส้มจะพลิกตัวแก้เกมกอบกู้สถานการณ์กันอยู่