หลังศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องประธานวุฒิสภา ปมถอดถอนสองรัฐมนตรี ภูมิธรรม เวชยชัย และพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ที่ใช้อำนาจฝ่ายบริหารก้าวก่ายฝ่ายนิติบัญญัติไว้วินิจฉัย
ทั้งมีมติเอกฉันท์ ให้ พ.ต.อ.ทวี ผู้ถูกร้องที่ 2 หยุดปฏิบัติหน้าที่ รมว.ยุติธรรม เฉพาะในฐานะผู้กำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย เพราะมีเหตุอันควรสงสัยว่า มีกรณีตามที่ถูกร้อง
แม้จะถูกค่อนแคะเป็นการให้หยุดปฏิบัติหน้าที่แบบอัมพฤกษ์ครึ่งซีกก็ตาม
แต่การรับคำร้องและสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวของศาลรัฐธรรมนูญ ก็ทำให้สันนิษฐานในเบื้องต้นได้ว่า การดำเนินคดีกับ 155 สว.ไม่ว่าจะในฐานความผิดอั้งยี่ ซ่องโจร หรือแม้แต่ในกรณีการ ‘ฮั้วเลือกสว.’
มีการใช้อำนาจทางการเมืองเข้าไปก้าวก่าย แทรกแซง
วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคประชาชาติ ที่มี พ.ต.อ.ทวี เป็นหัวหน้าพรรค ตอบคำถามนักข่าวอย่างระวังว่า ‘ไม่ทราบ เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหาร’ และยังไม่ได้เจอกับ พ.ต.อ.ทวี ตั้งแต่ที่มีเรื่องก็ตามจากข่าวเท่านั้น
คำตอบดังกล่าวถูกมองเป็นการชิ่งหนี
ทว่าประธานฯ วันนอร์ ในฐานะประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ต้องดูแลวุฒิสภาที่มีสว.กลุ่มหนึ่งเข้าชื่อกันยื่นร้องเอาผิด พ.ต.อ.ทวี กับอีกสถานะเป็นสส.สังกัดพรรคการเมืองที่พ.ต.อ.ทวี เป็นหัวหน้า จึงต้องวางตัวอยู่ตรงกลางอย่างระมัดระวังยิ่ง
ขณะที่ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามเรื่องจะให้รัฐมนตรีคนใดไปกำกับดูแลดีเอสไอ ไว้กว้างๆ ว่า
‘ก็จะมีรัฐมนตรีมารับผิดชอบในเรื่องนี้ ส่วนจะเป็นใครนั้น เดี๋ยวขอคุยกันนิดหนึ่งค่ะ’
ด้าน พ.ต.อ.ทวี ตอบคำถามสื่อเรื่องรัฐมนตรีที่จะมาดูแลดีเอสไอ ในห้วงเวลานี้ว่า
‘ยังไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่คาดว่ามีการตั้งไว้แล้วน่าจะเป็นนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม’
ไม่แน่ใจเป็นคำตอบที่จงใจหรือเผอเรอ เพราะ ‘ภูมิธรรม’ เป็นผู้ถูกร้องที่ 1 ในคดีนี้ ฐานเป็นประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ แต่ศาลไม่มีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะเป็นรองนายกฯ และรมว.กลาโหม ไม่ได้คุมดีเอสไอโดยตรง
ดังนั้น หากจะสลับให้รองฯ ภูมิธรรม มากำกับดูแลดีเอสไอแทนในระหว่างนี้ ไม่รู้จะมีใครไปยื่นร้องเพิ่มขอให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ตามไปอีกคนหรือไม่
เข้าใจว่าทีมกฎหมายรัฐบาลคงไม่เสี่ยงพอที่จะให้รองนายกฯ ภูมิธรรม ไปคุมดีเอสไอในห้วงเวลานี้แน่
ทีนี้เมื่อเทียบกระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญ กับการพิจารณา ‘ฮั้วสว.’ ทั้งในมือดีเอสไอ และคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของกกต.สองเรื่องหลังน่าจะยังต้องใช้เวลาอีกนาน เพราะดีเอสไอ ต้องสอบพยานอีกนับพันปาก กว่าจะส่งสำนวนให้อัยการส่งฟ้องศาลอาญาคดีทุจริตได้
ลำพังแค่ AI ที่ดีเอสไอมั่นใจจะนำมาเป็นหลักฐานเด็ดมัดนั้น ก็ถูกตั้งคำถามไม่น้อยว่า มีกฎหมายใดรับรอง เพราะคำตอบที่ได้จาก AI จะผันแปรไปตามคำถามที่ป้อนให้
ประมาณว่า มีทั้งฮั้วมาก-ฮั้วน้อย สรุปคือ ‘ฮั้วทั้งคู่’ แต่คนที่ฮั้วได้เก่งกว่าจะเป็นผู้ชนะ ขณะที่ในระเบียบกกต.เอง ที่เดิมมีข้อห้ามไว้ก็ถูกคำสั่งศาลยกเลิก ดังนั้น การมีปฏิสัมพันธ์ของผู้สมัคร ถ้าไม่มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างชัดเจน จึงเป็นเรื่องของการแนะนำตัวปกติที่ทำได้
เช่นเดียวกับ กระบวนการแจกใบแดง ‘สอยสว.’ ที่ถูกร้องเกินค่อนสภา กว่าจะผ่านด่าน กกต.ไปถึงศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งได้ คงต้องใช้เวลาอีกนาน เพราะตอนนี้เพิ่งเริ่มตั้งไข่ในขั้นตอนแรกจากทั้งหมด 4 ขั้นตอน ของกกต.เท่านั้น
ส่วนกระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญ หากเทียบเคียงกับคดีลักษณะเดียวกันในอดีต โดยเฉพาะสองอดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน, พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็คงจะใช้เวลาไม่นานนัก หลังพ้นกำหนด 15 วัน ที่ให้ส่งเอกสารหลักฐาน
จากนั้น ก็จะเป็นกระบวนการถัดไปของศาลที่จะพิจารณาเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยต่อไป ซึ่งหากไม่มีการขอขยายเวลาส่งเอกสารหลักฐานหรืออนุญาตให้เปิดการไต่สวน ก็คงใช้เวลาไม่ยาวนานนัก
ส่วนจะเร็วหรือช้าอย่างไร ถือเป็นดุลพินิจของศาล แต่อนุมานเอาจากขั้นตอนข้างต้น เชื่อได้ว่าเรื่องสอย ‘ทวี-ภูมิธรรม’ น่าจะจบก่อนคดีสอยสว.ด้วยซ้ำ
ไม่นับผลสะเทือนทางการเมืองว่าจะ‘หลุดไม่หลุด’ เก้าอี้รัฐมนตรี เพราะลำพังการสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ตามคำร้องเพิ่มเติม ฉบับลงวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ที่ยื่นเพิ่มไปทีหลัง ก็ทำให้การเมืองสั่นสะเทือนพออยู่แล้ว
เดิมพันครั้งนี้ของคนชื่อทวี สอดส่อง จึงนับว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว.