‘ทักษิณ’ กับการเปลี่ยนโจทย์ประเทศไทย

7 พ.ค. 2567 - 08:47

  • ลงพื้นที่เคลื่อนไหวตลอดเวลาสำหรับทักษิณ ชินวัตร

  • หลายคนหลงลืมไปว่าฐานะของเขา ยังคงเป็นนักโทษ ที่อยู่ระหว่างการพักโทษ

  • การเปลี่ยนพรรคเพื่อไทยเป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยมใหม่ มีราคาที่ต้องจ่ายสูงเช่นกัน

Thaksin and change-Thailand Challenge-SPACEBAR-Hero.jpg

หลังทักษิณ ชินวัตร ได้รับการพักโทษกลับไปพำนักอยู่บ้านจันทร์ส่องหล้า ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้สร้างปรากฎการณ์ทางการเมืองขึ้นหลายอย่าง ทั้งการปรับครม.เศรษฐาสดๆ ร้อนๆ ที่ผ่านมา ในฐานะผู้นำรัฐบาลตัวจริง ไม่นับการแสดงออกต่างกรรมต่างวาระอีกหลายเรื่อง

แม้แต่การไปพบปะพูดคุยกับแกนนำชนกลุ่มน้อยในพม่าตามที่ปรากฎเป็นข่าวบนหน้าสื่อวันนี้

เช่นเดียวกับการลงไปในพื้นที่ต่างๆ ทั้งที่บ้านเกิด จ.เชียงใหม่ และที่ จ.ภูเก็ต แม้จะไปในนามของการเยี่ยมเพื่อนเก่า ที่ไม่ได้เจอกันมานาน 17 ปี แต่ภาพที่ปรากฎกลับมีคนห้อมล้อม มีหัวหน้าส่วนราชการมาให้การต้อนรับ รายงานความคืบหน้าโครงการต่างๆ ทั้งยังมีการให้คำแนะนำจากทักษิณด้วย 

ภาพการลงพื้นที่ในแต่ละแห่งของทักษิณ จึงค่อนไปทางการตรวจงานเสียมากกว่า และไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ เพราะทักษิณ ยังมีโปรแกรมลงพื้นที่ภาคอีสานต่ออีกในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้ โดยประเดิมที่ จ.นครราชสีมา เป็นการเปิดประตูสู่ภาคอีสานก่อนเป็นแห่งแรก

ในขณะที่หลายคนยังไม่ลืมว่า สถานะของทักษิณนาทีนี้ยังเป็น ‘นักโทษ’  ที่อยู่ระหว่างได้รับการพักโทษ ซึ่งกว่าจะพ้นโทษก็ต้องมีถึงปลายเดือนสิงหาคมโน่น

แต่เมื่อทักษิณ ได้รับไฟเขียวให้เดินทางไปในที่ต่างๆ และแสดงออกโดย ‘อยู่เหนือพันธนาการของกฎหมาย’ คำว่า นักโทษที่อยู่ระหว่างการพักโทษ จึงเป็นเรื่องที่สังคมต้องจำใจก้าวข้ามไปอย่างไม่เต็มใจนัก

คำถามคือ แล้วทำไมทักษิณถึงได้รับสิทธิพิเศษมากขนาดนี้ เพียงเพราะมีพรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศเท่านั้นหรือ ซึ่งหากจะหาคำตอบในเรื่องนี้ ต้องถอยเวลาไปตั้งแต่การเดินทางกลับประเทศเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของทักษิณ ในวันเดียวกับที่รัฐสภาโหวตให้ เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศไทย

นั่นคือ คำตอบของการเปลี่ยนโจทย์ประเทศไทยกันเสียใหม่!!

เพราะโจทย์เดิม ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย คือตัวปัญหา ที่เป็นศัตรูสำคัญของฝ่ายอนุรักษ์ แต่ตอนหลังเมื่อมีพรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้น และแปลงร่างเป็นพรรคก้าวไกลในเวลานี้ ซึ่งมีจุดยืนอยู่ตรงข้ามกับฝ่ายอนุรักษ์และเป็นอันตรายมากกว่า

ประจวบเหมาะกับทักษิณ เป็นสัมภเวสีหลบหนีคดีอยู่ต่างแดนมานานกว่า 17 ปี มีความประสงค์จะกลับบ้านแบบเท่ๆ จึงต้องมาสมาทานศีลใหม่ ลอกคราบพรรคเพื่อไทยให้เป็น ‘พรรคอนุรักษ์นิยมใหม่’ อาสานำทัพฝ่ายอนุรักษ์สู้กับกระแสความร้อนแรงของฝ่ายสีส้ม

ในทางการเมืองเรื่องนี้ไม่ใช่ข่าวใหม่ เพราะเป็นที่รับรู้กันมานานและประจักษ์ชัดตั้งแต่วันที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) พร้อมใจกันโหวตเลือกเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนนท่วมท้น 152 เสียงแล้ว

ตลอดเวลาที่ผ่านมา จึงได้เห็นการเคลื่อนไหวของทักษิณชนิดที่ไร้พันธนาการใดๆ ทำนองถ้าจะใช้ก็ต้องให้อิสระอย่างเต็มที่ ประมาณนั้น ซึ่งต่อจากนี้คงจะได้เห็นทักษิณ โหมลงพื้นที่ถี่ยิบ โดยเฉพาะในช่วงหลังการปรับครม.เศรษฐา 1/2  ที่ปรับแล้วภาพลักษณ์ครม.ใหม่ 

ดูจะอัปลักษณ์ลงกว่าเดิม ไหนจะปัญหา ‘มะม่วงจำบ่ม’ ของหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาวิจารณ์ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) แต่ไม่เป็นผลดีต่อคนพูดเสียเอง จึงทำให้ทั้งรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยกระแสดำดิ่งลึกลงไปอีก

แต่การโหมลงพื้นที่ของทักษิณ ต่อจากนี้ก็ใช่จะช่วยดึงเรตติ้งรัฐบาลให้ดีขึ้นได้ เพราะลำพังการเคลื่อนไหวอิสระของทักษิณที่ผ่านมา ก็สร้างภาพลบให้ตัวเองและรัฐบาลไว้ไม่น้อย 

ส่วนการจะ ‘ทะลวง’ ฐานเสียงโดยใช้วิธีการแบบเดิมๆ ให้ผู้กว้างขวางที่เป็นมือไม้วิ่งเข้าหาบ้านใหญ่ ซุ้มนั้น ซุ้มนี้ตามภาคต่างๆ หรือแม้แต่การหว่านแจกโครงการลงไปในแต่ละพื้นที่แบบเดิมๆ ก็คงไม่ได้ผลอีกเช่นกัน เพราะหากใช้ได้จริงการเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคสองลุงคงได้ สส.มากกว่านี้

วันนี้เปลี่ยนโจทย์ประเทศไทยแล้ว ต้องดูด้วยว่าสิ่งที่ ‘ทักษิณคิด-นิดทำ’ อย่างที่เป็นอยู่ รวมทั้งที่พรรคเพื่อไทยเสวยบุญเก่ามาเป็นรัฐบาลอยู่เวลานี้ ถึงเวลาเลือกตั้งทักษิณและคณะพรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ จะยังขายได้อีกหรือ และที่สำคัญรายจ่ายที่ประเทศต้องเสียไป ที่แลกด้วยการล่มสลายของระบบยุติธรรมไทยนั้น

นำมาบวกลบแล้วจะคุ้มกันหรือไม่?!

เพราะนาทีนี้ความรู้สึกของคนไทยที่มีต่อทักษิณและพรรคเพื่อไทย น่าจะอยู่ ในอารมณ์เดียวกับที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยขอโอกาสจากประชาชนในช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา 

ทำแล้ว ทำอยู่ แต่ไม่ได้ทำต่อนั่นแหล่ะ!!

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์