การออกมาปรากฎตัวตามนัดของ ทักษิณ ชินวัตร ที่สำนักงาน ป.ป.ส.ในช่วงบ่ายอ่อนวันวาน (27 พ.ค.68) ที่มาพร้อมกับเนื้อหาคำพูดแบบเท่ ๆ แรง ๆ ตอบทุกคำถามตามแบบฉบับของสทร.ไม่มีแผ่ว
นอกจากจะมาโชว์ตัว สยบข่าวลือแล้ว ยังโชว์พาวแสดงถึงความเป็นผู้มากบารมี เป็นผู้นำตัวจริง แม้ไม่มีตำแหน่งหัวโขนใด ๆ แต่ทุกตำแหน่งใน ครม.ต้องมารอค้อมศีรษะให้ แถมยืนประกบซ้ายขวาประกอบฉากให้ในช่วงสัมภาษณ์สื่อ
"ข่าวลือแปลว่า ข่าวที่คนปล่อยอยากให้เป็นจริง ซึ่งส่วนใหญ่คือ ไม่จริง ส่วนใครที่เป็นคนปล่อยนั้นก็มีอยู่ไม่กี่คน อย่าไปสนใจมาก ผมไม่ค่อยใส่ใจอะไรมากมาย" ทักษิณ นำร่องด้วยการชี้แจงข่าวลือที่ว่าหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว
พร้อมกับไม่ให้สนใจข่าวความขัดแย้งหรือสงครามตัวแทนของสองพรรคร่วมรัฐบาล "อย่าไปสนใจ อย่าไปใส่ใจ ทุกอย่างมีกติกาของมันอยู่แล้ว หนึ่งมีกติกา สองเราก็ต้องมีมารยาทในการร่วมรัฐบาลต่อกันอยู่แล้ว"
ทักษิณยังยืนยันว่า เพื่อไทยและภูมิใจไทย จะอยู่ร่วมรัฐบาลกันไปตลอด "อยู่กันจนจบแน่นอน ไม่ต้องห่วงเลย"
ทั้งยังการันตีเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้ลูกสาว แพทองธาร ชินวัตร จะไม่มีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีกลางคัน หรือนายกฯ คนละครึ่งอย่างที่พูดถึงกัน "ไม่มียุบสภา แล้วเลือกตั้งใหม่ ให้ประชาชนตัดสิน แต่ยังอีกนาน ยังไม่ใช่ตอนนี้"
ส่วนนัดหมายสำคัญในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะไต่สวนเรื่องการรักษาอาการป่วยที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ทักษิณ ก็ไม่ได้รู้สึกกังวลใด ๆ โดยตอบคำถามแบบผ่อนคลายว่า
“ไม่มีอะไรเลย จริงๆ แล้วจะไปหรือไม่ไป ก็เป็นเรื่องของความร่วมมือกับศาล ถ้าศาลต้องการข้อมูลเราก็ให้ได้ ไม่มีปัญหา ไม่มีอะไรที่จะไปตื่นเต้น อย่ามาตื่นเต้นแทนผมซิ”
สุดท้ายเมื่อถูกถามว่า ที่ไม่ไปไหน เพราะลูกสาวเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งคำตอบที่ได้เป็นคำพูดซ้ำ ๆ ที่ทักษิณเคยพูดต่างกรรมต่างวาระมาแล้วหลายครั้ง แต่หนนี้ดูจะทำตัวสบาย ๆ กว่าทุกครั้งว่า
“ไม่มีเหตุผลอะไรเลย แหมอุตส่าห์กลับมาแล้วก็มาทำงาน และมีพระบรมราชโองการ มีพระมหากรุณาธิคุณลดโทษแล้ว บอกให้ผมใช้ความรู้ ความสามารถช่วยเหลือประชาชนในบ้านเมือง ผมก็ต้องรับด้วยเกล้าฯ รับใส่เกล้าฯ ไว้ เพราะเป็นเรื่องที่เป็นหน้าที่ผม”
เอาล่ะ ตัดทอนเฉพาะใจความสำคัญบางตอนมาให้อ่านอีกรอบ เพื่อโยงเข้าหาการเมืองศึก "แดง-น้ำเงิน" ที่ยังต้องดำเนินไปต่อ ไม่ต่างกับปมฮั้วสว.ที่ทักษิณเองบอกว่า เมื่อเข้าสู่กระบวนการแล้ว ก็ให้เป็นไปตามกระบวนการ
นั่นแสดงว่า พรุ่งนี้ มะรืนนี้ของการเมืองอีกหลายเรื่อง ก็ต้องว่าไปตามกระบวนการด้วย
ด่านแรกเรื่องของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาในระหว่างวันที่ 28-31 พฤษภาคมนี้ ก็ปล่อยให้เดินหน้ากันไป ไม่มีอะไรต้องสะดุด เพราะเป็นเรื่องของงบประมาณแผ่นดิน โดยเฉพาะมีพรรคสีส้ม ฝ่ายค้านเชิงรุก คอยทำหน้าที่เป็นหางเครื่องชั้นดีให้อยู่แล้ว
ขณะที่ 13 มิถุนายน 2568 ที่จะเป็นวันชี้ชะตาทักษิณนั้น เมื่อวานเจ้าตัวจงใจกระแทกแรง ๆ ไปที่แพทยสภา ถามถึงจริยธรรมของแพทยสภาว่า "แพทยสภามีหน้าที่ดูเรื่องจริยธรรมของแพทย์ บางทีแพทยสภาก็ไม่มีจริยธรรมเสียเองก็มี"
ในวันเดียวกัน สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะนายกพิเศษแพทยสภา ที่จะทำหน้าที่ชี้ขาดมติลงโทษ 3 หมอ ใน 1-2 วันนี้ ก็ข้องใจการเปลี่ยนแปลงโทษ ในชั้นพิจารณาของคณะกรรมการชุดที่ 3 เช่นกันว่า เป็นเพราะอะไร
ประเมินจากการประสานเสียงของ "ทักษิณ-สมศักดิ์" น้ำหนักการวีโตมติแพทยสภา จึงเป็นไปได้สูงยิ่ง และเมื่อมีความเห็นไปกันคนละทาง โอกาสจะส่งผลไปถึงการไต่สวนของศาลในวันที่ 13 มิถุนายน ก็มีแนวโน้มอาจจะยังไม่มีข้อสรุปเช่นกัน
เมื่อเหตุการณ์เป็นแบบนี้ ละครการเมืองของแดง-น้ำเงิน ก็ยังต้องดำเนินไปต่อ "เสี่ยหนู" อนุทิน ชาญวีรกูล ก็ต้องยอมปั้นหน้า ยืนเหม่อ เก็บอาการได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เมื่อต้องมาอยู่ในฉากเดียวกับสทร.เหมือนเมื่อวานต่อไป
แต่ไม่ว่าจะลากกันไปขนาดไหน ทันทีที่เปิดประชุมสภาสมัยสามัญในวันที่ 3 กรกฎาคม ก็ต้องไปเจอระเบิดอีกลูกที่รออยู่ คือ ร่างพ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร ที่เพื่อไทยกับภูมิใจไทย ยังมีความเห็นไปคนละทาง ก็ต้องตบตีกันต่อ
ดังนั้น สิ่งที่เห็นและฟังจากปากทักษิณเมื่อวาน ตรวจสอบเชิงลึกในเบื้องต้นแล้ว ทุกอย่างยังเป็นเรื่องของการเมือง ที่แดง-น้ำเงิน ยังต้องตบจูบ โอบกอด ประคองกันไปตามบทละครการเมือง ที่ยังเดินไปไม่ถึงฉากจบ