กระแสปรับครม. แพทองธาร ชินวัตร ที่ดูเหมือนเร่งเครื่องอย่างมากก่อนหน้านี้ โดยปั่นกระแสกันมาตั้งแต่ก่อนพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ถึงขั้นแจกโผ ว่อนออกมาจากที่ทำการพรรคเพื่อไทย(พท.) กันเลย และคิดการใหญ่ขนาดวางแผน "เขี่ยทิ้ง" พรรคภูมิใจไทย(ภท.) ไปให้พ้น ๆ ทางด้วยซ้ำ
แต่ดูเหมือนจะเกิดการขัดลำกล้อง ผิดคิว นัดไว้แล้วไม่มาตามนัด หรือค่อนไปทางโม้เสียมากกว่า อารมณ์เดียวกับที่เคยพูดคำโตไว้ในอดีตว่า เป็นคนกำความลับและเป็นเส้นเลือดใหญ่ของรัฐบาลสมัย "ลุงตู่" นั่นแหล่ะ
เมื่อเกมพลิก แถมทำท่าจะเกิดสถานการณ์แบบ "มาฆบูชาการเมือง" ขึ้นในปีกพรรคการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่พากันอุปโลกน์ให้ ภท.เป็นหัวขบวน โดยเห็นได้จากท่วงท่าการเมืองแปลก ๆ จาก อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้า ภท.หลังเดินทางกลับจากเจนีวา
ล่าสุดนักข่าวไปถาม ภูมิธรรม เวชยชัย ถึงท่าทีพรรคภูมิใจไทย ที่ขอยึดกระทรวงเดิมตามที่ตกลงกันมาตั้งแต่เข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งได้รับการอธิบายว่า การพูดคุยจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน ได้เอาการแก้ปัญหาและนโยบายที่จะทำเป็นหลัก ไม่ใช่เรื่องตำแหน่ง
"การคุยเพื่อตั้งรัฐบาล ไม่ใช่คุยว่าจะให้ตำแหน่งอะไรกับใคร ต้องเข้าใจก่อนว่า เราคุยเรื่องนโยบายที่จะทำงาน ถ้าเห็นด้วยก็มาร่วม ถ้าไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องมาร่วม"
ภูมิธรรม ซึ่งในตอนนั้นเป็นเสมือนผู้จัดการรัฐบาล ย้ำเป็นคนดำเนินการคุยเองว่าจะมาช่วยกันทำงานอย่างไร ถ้าเห็นเหมือนกันก็ทำงานร่วมกันได้ แต่ขณะนี้ใครจะเสนออะไร อยู่ที่นายกฯ พิจารณา
คล้อยหลังไปไม่นาน นักข่าวนำคำพูดดังกล่าวไปถามอนุทิน คำตอบที่ได้คือ "ถ้าไม่คุยเรื่องกระทรวง แล้วจะมาอยู่กระทรวงนี้ได้ยังไง" พร้อมสำทับซ้ำว่า "มันจะเป็นไปได้ไหมเล่า ผู้สื่อข่าวลองไปวิเคราะห์เองบ้างสิ"
ในวันเดียวกัน "เสี่ยหนู" ยังตอบคำถามนักข่าวถึงการโพสต์ข้อความของ กรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ที่ว่า "ให้ลดเรื่องการเมือง และโฟกัสเรื่องบ้านเมือง ก่อนจะไม่มีการเมืองให้เล่น"
โดยอนุทิน ตอบสั้น ๆ ว่า ตอนนี้มาทำงานกันแล้ว ไม่ต้องเล่นการเมืองกันแล้ว และเมื่อถูกถามย้ำอีกจึงสำทับให้ฟังชัด ๆ ว่า “ถ้าอยากเล่นการเมือง ก็อย่าเล่นการเมืองกันเอง”
ใครเล่นการเมืองกับใคร มองจากศึกแดง-น้ำเงิน ที่ฟัดกันข้ามปีและติดพันมาถึงวันนี้ ก็คงพอจะเดากันออกว่าที่อนุทินพูดนั้นหมายถึงใคร?
ให้ช่างบังเอิญว่า การออกมารุกหนักของ "เสี่ยหนู" ในเวลานี้ ใกล้กับวันที่ 12-13 มิถุนายนพอดี โดยเฉพาะวันที่ 12 แพทยสภานัดประชุมลงมติคำสั่งวีโต้ของ สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุช ในฐานะนายกพิเศษแพทยสภา ที่ไม่เห็นด้วยกับมติแพทยสภาในการลงโทษ 3 หมอ
กรณีของแพทยสภา สถานการณ์อยู่ในภาวะที่สุ่มเสี่ยงและมีเดิมพันสูงมาก เพราะจะถูกโยงไปถึงวันที่ 13 มิถุนายน ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนการรับโทษของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ผ่านมาเป็นไปตามหมายขังของศาลหรือไม่?
จึงไม่แปลกที่ช่วงนี้ไม่ได้เห็นทักษิณ ออกมาแสดงความเห็นผ่านสื่อหรือปรากฎตัวต่อสาธารณะ แต่เก็บเนื้อเก็บตัวและดูเงียบผิดปกติด้วยซ้ำ รวมทั้ง "คู่รัก-ยม" สองรัฐมนตรีตัวตึง ก็พลอยลดโทนความร้อนแรงตามไปด้วย
ส่วนการออกมาก่อกบฎของ 21 สส.รวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) น่าจะเป็นการอาศัยช่วงจังหวะเวลานี้ชิงลงมือมากกว่า ซึ่งดูแล้วคงไม่เกี่ยวกับการออกตัวแรงของอนุทิน อย่างมากก็แค่ขอเกี่ยวสัญญาณพิเศษจากอนุทินไปด้วยเท่านั้น
แต่ที่แน่นอนเลยคือ สถานการณ์การเมืองชั่วโมงนี้ เกมพลิกให้น้ำเงินขึ้นมาขี่แดง ส่วนจะปรับครม.กันแบบไหน อย่างไรนั้น ต้องรอให้ผ่านวันที่ 12-13 มิถุนายนนี้ไปก่อน