หนังการเมืองม้วนเก่า กำลังถูกนำมาฉายอีกรอบ เมื่อความขัดแย้งในพรรครัฐบาล ศึกแดง-น้ำเงิน บานปลาย บรรยากาศใกล้เคียงกับช่วงปลายรัฐบาล ทักษิณ - ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ สองพี่น้องเผชิญชะตากรรมในอดีต
วันนี้ผ่านมาถึงรุ่นลูก แพทองธาร ชินวัตร ที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยความไม่พร้อม เป็นมะม่วงจำบ่มทางการเมือง ก็ตกอยู่ในชะตากรรมที่คล้ายกัน ต่างกันตรงเวลาและต้นทุนที่ไม่เท่ากัน
แพทองธาร มาแบบติดลบ แถมพกพาเอาความรู้สึกหมั่นไส้ติดตัวมาตั้งแต่วันแรก อยู่มาแปดเดือนกินแต่บุญเก่าที่พ่อทำไว้ บุญใหม่ไม่มี เพราะไม่สามารถซึมซับอะไรได้ นอกจากความมั่นใจที่กล้าสวนกลับได้ในทุกเรื่อง
ไม่เว้นแม้คำตัดสินศาลปกครองสูงสุด ยังออกมาโพสต์สวนว่า "อยุติธรรม" ทั้ง ๆ ที่ตัวเองสวมหมวกผู้นำฝ่ายบริหารอยู่ด้วย ไม่ได้มีสถานะแค่ "หลานอาปู" เท่านั้น
ทำให้เป็นหัวหน้ารัฐบาล ที่ไม่มีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมและออกมาต่อต้านคำพิพากษาศาลเสียเอง อารมณ์เดียวกับที่เคยแสดงอาการ "เบ้ปาก" ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดตัดสินความผิดบิดา เมื่อหลายปีก่อน
การแสดงออกของแพทองธาร พร้อมแกนนำพรรคเพื่อไทย ที่โต้แย้งคำตัดสินศาลปกครองสูงสุด ในท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งของแดง-น้ำเงิน ทำให้อุณหภูมิการเมืองเพิ่มความร้อนแรงขึ้น และเริ่มถูกตั้งคำถามถึงความชอบธรรมในการบริหารประเทศ จากการปฏิเสธกระบวนการยุติธรรมดังกล่าว
ที่ผ่านมาลำพังกรณีการรับโทษของทักษิณ "ปมป่วยทิพย์" ก็ถือเป็นปัญหาสาหัสสากรรจ์พออยู่แล้ว
มองในมุมกลับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องที่พรรคเพื่อไทยหรือตระกูลชินวัตร ถูกกระทำซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า แต่เป็นเพื่อไทยและตระกูลชินวัตรต่างหาก ที่ทำผิดซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า และยังจะทำผิดต่ออีกในยุคนายกฯ Gen Y
เมื่อการเมืองเดินมาถึงจุดนี้ เท่ากับเป็นการยืนยันถึง "ดีลลับ" ที่มีปัญหาและกำลังจะเป็น "ดีลล่ม" ในเร็ว ๆ นี้ หากไม่สามารถกอบกู้สถานการณ์เลวร้ายกลับคืนมาได้ ซึ่งไม่ใช่ปมฮั้วสว.ที่เปิดแนวรบกันหลายด้าน โดยเฉพาะการเล่นแบบเกินเบอร์ ดึงเอาผู้ใหญ่ "นายพล ส." เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย?!
ทว่าปมฮั้ว สว.แม้จะลุกลามไปไกลถึงขั้นร้องยุบพรรค แต่กระบวนการยังต้องใช้เวลาอีกนาน
ดังนั้น การออกหมายเรียก สว.ล็อต 1-2-3 มารับทราบข้อกล่าวหา ไปถึงการร้องยุบพรรคการเมือง จึงเป็นการแลกหมัด เพื่อกดดันต่อรองผลประโยชน์การเมืองระยะสั้นกันมากกว่า โดยเฉพาะการตั้งกรรมการองค์กรอิสระแทนตำแหน่งที่ว่าง ในมือของพรรคสีน้ำเงิน
งานนี้อย่าว่าแต่ร้องยุบพรรค ต่อให้ยุบสภาพรรคสีน้ำเงินก็ไม่สน เพราะมีสภาสูงเป็นไพ่ใบสำคัญในมือ ขณะที่ทักษิณกับเพื่อไทย นับวันหนทางเดินจะยิ่งแคบลง เพราะผลิตผลงานไม่ออก บุญเก่าก็ร่อยหรอ แถมยังก้าวพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ไม่รู้ว่าด่านสำคัญที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวน 13 มิ.ย.นี้ ผลจะออกมาอย่างไร
เวลาที่เหลืออีกสิบกว่าวันต่อจากนี้ จึงไม่ใช่เวลามาไล่ทุบพรรคสีน้ำเงิน เพราะหากตกลงกันไม่ได้และยังทำตัว สทร.อยู่เหมือนเดิม การเมืองอาจเข้าสู่ "โอเวอร์ เกม" ที่นายกฯ รุ่น 3 ของกระกูลชินวัตร อาจมีชะตากรรมเดียวกับบิดาและอาสาว
ทั้งหลายทั้งปวง ก็เพราะศึกแดง-น้ำเงิน รอบนี้ไม่ใช่แค่การขบเหลี่ยมระหว่าง "นายใหญ่-ครูใหญ่" แต่เป็นระดับสงครามมหาเอเชียบูรพา ที่มีกลุ่มอนุรักษ์นิยมถือหางอยู่ทั้งสองข้าง ซึ่งครุกรุ่นมาตั้งแต่ "ดีลลับ" กลับประเทศเมื่อเกือบสองปีก่อน ที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมบางปีกไม่เห็นด้วย แต่ไม่ได้ขัดขวาง
จนกระทั่ง ปล่อยให้มีการละเลงกันเลยเถิด จนทำให้บ้านเมืองเสียหาย จึงปล่อยเอาไว้ต่อไปอีกไม่ได้
ศึกแดง-น้ำเงินหนนี้ จึงเสมือนเป็นเกมชิงอำนาจในกลุ่มอนุรักษ์นิยมด้วยกันเอง ดังนั้น รัฐบาล "พ่อ-ลูก" อย่าชะล่าใจ มัวแต่เดินสายขาย Soft Power หรือตะลอนหา Man Made Destination ทั้งกาสิโน รถสูตร 1 ฟอร์มูล่าวัน กันจนเพลิน
ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่รู้จะมีใครที่ไหนกล้ามาลงทุน เพราะลำพังเก้าอี้นายกฯ ยังไม่รู้จะรักษาเอาไว้ได้อีกกี่วัน