คำว่า ไม่รู้สี่รู้แปด ถูกนำมาใช้ในทางการเมืองอีกครั้ง เมื่อ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเรื่องการย้ายพรรคของสส.หรือนักการเมือง เหมือนกับการย้ายงานของพนักงานบริษัท
"ใครอยากย้ายไปองค์กรไหน ก็เหมือนสื่อที่ย้ายสังกัดได้เช่นกัน"
มองเผิน ๆ เหมือนไม่มีอะไร แถมเปรียบเทียบได้เห็นภาพชัด เพราะเป็นเรื่องความชอบไม่ชอบ เป็นสิทธิของแต่ละคนที่จะเลือกงาน เลือกสิ่งแวดล้อม และเลือกเจ้านายคนใหม่ได้
แต่สำหรับการเมือง มันมีเรื่องของจุดยืน อุดมการณ์ คอยเป็นตัวกำกับอยู่ด้วย ซึ่งต่างจากพนักงานบริษัทที่มีทั้งพนักงานที่เป็นลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว และบางคนมีสถานะเป็นฟรีแลนซ์
หรือนายกฯ มองเห็นสส.ในพรรคตัวเองเป็นลูกจ้างบริษัท ไม่ใช่เพื่อนร่วมอุดมการณ์
นอกจากนั้น การเมืองยังมีกติกาบังคับไว้ ในระหว่างอายุของสภาผู้แทนราษฎร ห้ามสส.ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคที่ตัวเองสังกัดอยู่ ถ้าลาออกต้องพ้นจากการเป็นสส.ทันที ยกเว้นพรรคมีมติขับออกหรือพรรคถูกยุบ ให้ไปหาพรรคสังกัดใหม่ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
ธรรมชาติของนักการเมือง โดยเฉพาะคนที่เป็นสส.ส่วนใหญ่มักจะย้ายพรรคก็ต่อเมื่อยุบสภาหรือก่อนจะมีเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเรียกกันว่า "ฤดูย้ายพรรค" ตลาดการเมืองเปิด
ส่วนใครจะย้ายไปอยู่พรรคไหน ก็เลือกเอาตามจริตของตัวเอง ในอดีตมีพรรคเทพ-พรรคมาร ตอนหลังมีเรื่องสีเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น "แดง น้ำเงิน ส้ม" ที่แบ่งเป็นสามก๊ก สองค่าย วุ่นวายอยู่เวลานี้
นี่คือความแตกต่างของคนที่เป็นนักการเมืองและสส.กับลูกจ้างบริษัท
วันนี้ถ้าคนที่เป็นผู้นำ ไม่ได้ตกผลึกในเรื่องของงานการเมืองว่าเป็นการอาสาเข้ามา ก็จะจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง และสิ่งที่ควรทำกับไม่ควรทำไม่ถูก ยกตัวอย่างการเดินทางไปต่างประเทศ ที่ถูกสังคมวิจารณ์อยู่ตอนนี้
ในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญมรสุมรอบด้าน แถมเงินในกระเป๋าก็ร่อยหรอ ต้องใช้จ่ายอย่างมัธยัสถ์ แต่นายกฯ กลับบินไปต่างประเทศ ในนามของการเปิดตลาดยุโรป ซึ่งดูจากเนื้องานเปิดป้าย แจกรางวัล เยี่ยมชมค่ายมวย ประชุมทีมไทยแลนด์ และปิดท้ายด้วยเรื่องฟอร์มูล่าวันแล้ว
ปัญหาที่ประเดประดังรอการแก้ไขอยู่ในประเทศ น่าจะสลักสำคัญกว่า และเอาเงินค่าใช้จ่ายการเดินทางตลอดทริปนี้ ไปทำอย่างอื่นที่จำเป็น น่าจะเกิดประโยชน์โภชน์ผลได้กว่าเยอะ
เทียบกับประเทศจีน ที่มีเศรษฐกิจใหญ่กว่าไทยมาก เมื่อเจอกับปัญหาเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนต่างๆ ทำให้ 2-3 วันก่อน รัฐบาลจีนกำชับเจ้าหน้าที่รัฐทั่วประเทศ ให้ลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เช่น ค่าเดินทาง อาหาร พื้นที่สำนักงาน รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงรับรองต่าง ๆ
โดยเฉพาะการเดินทางไปประชุมต่างประเทศ "สี จิ้นผิง" ให้ไปเฉพาะเท่าที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น อีกทั้ง ให้เน้นการใช้จ่ายภายในประเทศ เพื่อกระตุ้นการบริโภค ให้เงินหมุนเวียนอยู่ในประเทศ โดยใช้ข้อความต่อต้านการใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองกระตุ้นเตือนว่า
“ความฟุ่มเฟือยเป็นสิ่งที่น่าละอาย ความประหยัดเป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญ”
ของเราจะเอาอย่างบ้างหรือไม่ก็สุดแท้แต่ เพียงแต่ว่าสารพัดปัญหาที่รุมเร้าประเทศอยู่เวลานี้ โดยเฉพาะปัจจัยเสี่ยงทางการเมือง ที่น่าจะแซงหน้าปัญหาเศรษฐกิจไปแล้ว และต้องแก้ที่เรื่องการเมืองก่อน เพราะเป็นกุญแจดอกสำคัญไขไปสู่การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้
ดังนั้น ที่เปิดแนวรบทำนิติสงครามห้ำหั่นกันอยู่เวลานี้ ล้วนแต่เป็นการปล่อยพลังต่อรองของแต่ละฝ่าย ชนิดผลัดกันรุกผลัดกันรับ รอแต่ว่าวันไหนแม่ทัพใหญ่ของสองฝ่าย จะออกมานำทัพเองเท่านั้น
ถึงวันนั้นคงได้เห็นการรบแตกหัก ถ้าไม่ปรับครม.ก็คงลาออกให้สภาสรรหานายกฯ ใหม่ เลวร้ายสุดก็ยุบสภา ตัวใครตัวมัน ไปตายดาบหน้ากันเอาเอง หรือจับพลัดจับผลูนายกฯ อิ๊งค์ อาจจะถูกองค์กรอิสระสอยตกเก้าอี้เสียก่อน ก็ไปด้วยกันทั้งครม.แบบเท่ ๆ
อาจพ่วงสภาสูง-สภาล่าง มอดม้วยไปด้วยพร้อมกัน
นี่แหล่ะบ้านเมืองมาถึงจุดที่ต้องเปลี่ยนผู้นำ เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปได้