อุณหภูมิการเมืองเดือดขึ้นมาทันที หลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.มีมติให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อสั่งยุบพรรคก้าวไกล เนื่องจากเห็นว่า มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พรรคก้าวไกลกระทำการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามมาตรา 92 วรรค 1 และ 2 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560

การยื่นคำร้องของ กกต.ครั้งนี้ ถือเป็นการนับหนึ่งในกระบวนการพิจารณาคดียุบพรรค ที่ก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์ว่า ขั้นตอนทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 60 วัน ก่อนจะมีคำวินิจฉัย ซึ่งนั่นหมายความว่า หากการคาดการณ์เป็นดังนั้นจริง ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ก็จะเป็นช่วงที่อุณหภูมิการเมืองพีคถึงขีดสุด
พีคเพราะคดียุบพรรคก้าวไกล เป็นคดีที่บรรดานักวิเคราะห์การเมืองมองว่า คือจุดเปลี่ยนสำคัญทางการเมืองไทยอีกครั้ง
พีคเพราะยังมีปัจจัยร้อนทางการเมืองอีกหลายปัจจัยเกิดขึ้นในห้วงเวลานั้น
พีคเพราะเป็นช่วงเวลาที่เสร็จสิ้นการพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 แล้ว เนื่องจากคาดว่าร่างกฎหมายงบประมาณจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรวาระ 2 และ 3 ในวันที่ 27 มีนาคม โดยน่าจะมีการประชุมเพื่อพิจารณากฏหมายฉบับนี้แล้วเสร็จไม่เกินวันที่ 28 มีนาคม 2567
ทำไมคดียุบพรรคก้าวไกลถึงสำคัญ และเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมือง?

บรรดาคอการเมืองมองว่า คดีนี้ไม่ได้มีผลเฉพาะพรรคก้าวไกล และกรรมการบริหารพรรค แต่ยังมีผลไปถึงบรรดา สส.ของพรรคจำนวน 44 คน ที่ร่วมลงชื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 ด้วย
เพราะ สส.ทั้ง 44 คนอยู่ในรายชื่อคำร้องที่ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความอิสระ และ สนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการกฎหมาย สภาผู้แทนราษฎร ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ตรวจสอบและเอาผิดจริยธรรม กรณีร่วมลงชื่อเสนอแก้ไขกฎหมาย มาตรา 112
หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมาให้ยุบพรรคก้าวไกล และหาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดของสส.ทั้ง 44 คน อาจมีผลให้ทั้ง 44 คนพ้นสภาพจากการเป็น สส. ทั้งสองปัจจัยนี้ก็จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางการเมืองทันที
ด้านหนึ่ง เมื่อยุบพรรค สส.ก้าวไกลก็จะต้องเร่งเข้าสังกัดพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งแม้จะเตรียมพรรคสำรองเอาไว้ แต่ก็เชื่อว่าจะมี สส.ก้าวไกลบางกลุ่ม แตกไปสังกัดพรรคอื่นที่มีการพูดคุยเจรจากันไว้แล้ว
แต่อีกด้านหนึ่ง หากมีการวินิจฉัยให้ 44 สส.พ้นสภาพด้วย ในสภาก็อาจจะเกิดสภาวะสุญญากาศ สส.กลุ่มหนึ่งก็ต้องเร่งหาพรรคสังกัด การเจรจาดึงตัว สส.ก็จะอลหม่านไปหมด
ขณะที่อีก 44 สส.ที่พ้นสภาพ 12 สส.เป็น สส.แบบเขต อีก 32 สส.แบบบัญชีรายชื่อ กกต.ก็จะต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ 12 เขต และจะต้องขยับ สส.บัญชีรายชื่อของก้าวไกลขึ้นมาแทน 32 สส.ที่พ้นสภาพ
โมเมนตัมทางการเมืองก็อาจจะเปลี่ยนอีกครั้ง ขึ้นอยู่กับ สส.ก้าวไกลจะไหลไปในทิศทางไหน ระหว่างพรรคสำรองที่ตั้งรอไว้ หรือพรรคการเมืองอื่นที่พร้อมอ้าแขนรับ สส.พรรคก้าวไกล เพื่อเพิ่มปริมาณ สส.ในพรรค สำหรับการต่อรองทางการเมือง

โดยเฉพาะการปรับ ครม.ที่พรรคประชาธิปัตย์ นำโดยหัว “หน้าต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน รออยู่ด้วยความมาดมั่นเช่นกัน
คดียุบพรรคก้าวไกล จึงเป็นปัจจัยที่จะเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองที่สำคัญในสายตานักวิเคราะห์ ไม่นับประเด็นร้อนทางการเมืองอื่นที่จ่อคิวเข้ามากดดันรัฐบาลในห้วงเวลาเดียวกัน ทั้งสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว.ที่ยื่นญัตติขออภิปรายทั่วไปรัฐบาล โดยไม่มีการลงมติที่คาดว่า จะมีการอภิปรายวันที่ 25 มีนาคม 2567
นอกจากนั้นยังมีพรรคฝ่ายค้านนำโดยพรรคก้าวไกล ที่กำลังจ่อจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในวันที่ 13 มีนาคม 2567
ไม่นับกลุ่มการเมืองอื่นที่เคลื่อนไหวกันอย่างคึกคัก โดยแทบทุกกลุ่มมีเป้าหมายเดียวกันที่อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร กลุ่มดวงใจของพรรคเพื่อไทย
ใครผ่านไปมาแถวทำเนียบรัฐบาล จะเห็นเวทีของเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ หรือคปท. ที่ปักหลักอภิปรายกันมาแรมเดือนแล้ว
บรรยากาศเวทีปภิปรายอาจดูบางตา จำนวนคนไม่มากนัก บนเวทีอาจจะยังไม่มีนักเคลื่อนไหวเบอร์ใหญ่ๆ เข้าร่วม
ดูแล้วเหมือนไม่น่าจะมีพลังที่จะเขย่ารัฐบาลให้สั่นคลอน หรือมีพลังที่จะขับเคลื่อนมวลชนได้มากนัก
แต่ถ้าจะสังเกตให้มากกว่านั้น ต้องเดินไปสังเกตที่เต้นท์ทำอาหารของ คปท. เพราะเป็นการวางครัวแบบเต็มพิกัด ครัวที่พร้อมรองรับการขยายตัวของกลุ่มผู้ชุมนุม เพราะยกโรงครัวสันติอโศกมาเกือบเต็มรูปแบบการจัดทัพในอดีต ก่อนการเคลื่อนพลก็ต้องมีการเกณฑ์ชาวบ้านมาทำนาปลูกข้าว ตระเตรียมเสบียงสำหรับการเดินทัพ และการศึกระยะยาว
ครัว คปท.รอบนี้ ก็ตระเตรียมพร้อมเปิดศึกใหญ่ พร้อมรับมือศึกระยะยาว
เพราะฉะนั้นอย่ามองเพียงจำนวนม็อบที่บางตา อย่ามองเพียงแค่ชื่อผู้อภิปรายในวันนี้ เพราะครัวในลักษณะนี้ เป็นครัวที่พร้อมยืนระยะ และพร้อมรองรับปริมาณมวลชนที่จะเพิ่มขึ้น เมื่อมีประเด็นที่ม็อบจุดติด
ปัจจัยทั้งหมด ยังไม่รวมถึงความเคลื่อนไหวในช่วงเวลาสำคัญที่ สว.ชุดนี้ กำลังจะหมดวาระในวันที่ 11 พฤษภาคม 2567 และสถานการณ์ก่อนวันที่ 24 พฤษภาคม 2567 ซึ่งจะเป็นวันสุดท้ายที่ สว.ชุดนี้ จะมีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี
เดือนเมษายนจึงเป็นห้วงเวลาเดือดทางการเมือง ที่เอาปากกามาวงรอเอาไว้ได้เลย เว้นแต่ใครจะมีประเด็นร้อนมากกว่านี้ ก็หยิบปากกามาวงเทียบได้
