คงไม่มีใครคาดคิดว่าคนหนุ่มวัยกลางคนที่มีอายุเพียง 37 ปี อย่าง ‘เชน’ ธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ ที่มีภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จจนน่าอิจฉา เป็นเจ้าของอาณาจักรธุรกิจ ‘อมาโด้ กรุ๊ป’ ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในหมวดสุขภาพและความงาม ผ่านช่องทางการขายในรูปแบบของ TV Shoppingทางสถานีโทรทัศน์ดิจิทัลหลากหลายช่อง โดยมียอดขายระดับพันล้านบาท จะมี ‘ชะตากรรม’ พลิกผันถึงขนาดถูกฟ้องดำเนินคดีฐาน ‘ฉ้อโกง’ และยังติดหนี้บรรดา ‘ซัพพลายเออร์’ อีกหลายรายมูลค่านับพันล้านบาท
แต่สำหรับคนที่อยู่ในวงจรธุรกิจของ ‘อมาโด้’ จะรับรู้ว่าเริ่มมีสัญญาณไม่สู้ดีมาแล้วระยะหนึ่ง เพียงแต่เพิ่งจะมีคู่ค้าทางธุรกิจอย่าง ‘ไทยยินตัน’ จำกัดของ ‘นริศ วิทยาวรากรณ์’ ที่ลุกขึ้นมาเล่นบท ‘สีไม่ยอมทน’ ออกมาเปิดโปงถึงพฤติกรรมที่น่ารังเกียจในการทำธุรกิจของ ‘เชน’ ธนา กลางรายการ ‘โหนกระแส’ ในวันที่ไร้ครูกะปิ ‘หนุ่ม’ กรรชัย กำเนิดพลอย กล้าแฉเรื่องราวการ ‘เบี้ยวหนี้’ ค่าสินค้ามูลค่าราว 79 ล้านบาท กับ น้อง ‘ปุ้ย’ รสริน ประกอบธัญ จนกลายเป็น ‘ทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์’ สุดร้อนแรงตามมา
ก่อนหน้านั้น ‘นริศ’ซึ่งเป็นผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ช่วยสร้างจุลินทรีย์ในลำไส้ ยินตัน บิฟิน่า อีเอ็กซ์จากญี่ปุ่น ได้ตัดสินใจเข้าแจ้งความดำเนินคดี เชน ธนาและภรรยา ในข้อหา ‘ร่วมกันฉ้อโกง’ โดยเปิดเผยว่า มีการตกลงขายสินค้าให้กับ อมาโด้ กรุ๊ป รวม 2 สัญญา ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2564 โดยสัญญาล็อตแรก จำนวน 3 ล้านซอง มูลค่าราว 57 ล้านบาท และมีการสั่งซื้อเพิ่มอีกหนึ่งสัญญา จำนวน 4 ล้านซอง มูลค่า 85 ล้านบาท ในเวลาไล่เลี่ยกัน
หลังจากมีการส่งสินค้าครบตามสัญญาแรก มีการเร่งรัดในการทยอยชำระหนี้ แต่ก็ถูกผัดผ่อนเรื่อยมา จนเพิ่งมีการจ่ายหนี้ค่าสินค้าในสัญญาแรกได้ครบเมื่อต้นปี 2565
สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเรื่อย ๆ เมื่อมีการทยอยส่งมอบสินค้าในล็อตที่สองตามสัญญาครบในราวเดือนมีนาคม ปี 2565 เมื่อเชนธนายอมทยอยจ่ายค่าสินค้าเพียง 6 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 79 ล้านบาท ได้ขอผัดผ่อนการชำระหนี้ไปถึง 120วัน โดยครบกำหนดชำระในวันที่ 25 กรกฎาคม 2565
แต่เมื่อถึงกำหนดอมาโด้ กรุ๊ปกลับปฎิเสธการจ่ายหนี้ 79 ล้านบาทดังกล่าว และยังกล่าวหาว่า ไทยยินตันทำผิดสัญญา ส่งสินค้าไม่ได้คุณภาพตามที่สั่ง ทำให้เสียหายเนื่องจากขายสินค้าไม่ได้
‘นริศ’ จึงตัดสินใจแจ้งความว่าถูก**‘ฉ้อโกง’** โดยในตอนแรกพนักงานสอบสวนของกองปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เห็นว่าคดีนี้เป็น ‘คดีแพ่ง’ ทำให้นริศต้องรวบรวมหลักฐานเข้ายื่นฟ้องต่อศาลเอง
ต่อมาอัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง และพนักงานสอบสวนมีการออกหมายเรียก แต่ เชนธนาและภรรยามีการขอเลื่อน จนมีการออกหมายเรียกรอบที่สองให้มาพบในวันที่ 18 พฤศจิกายน ทำให้ทั้งคู่ต้องไปเข้าพบเจ้าหน้าที่ในวันเดียวกันกับที่นริศ ไปออกรายการโหนกระแส
ในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับนักข่าว เชน ธนาสร้างดราม่าถึงขั้น **‘ปล่อยโฮ’**ร้องไห้ต่อหน้าสื่อมวลชน โดยยอมรับว่า ธุรกิจของตัวเองประสบปัญหาด้านการเงินอย่างหนักมาแล้วระยะหนึ่ง เนื่องจากโดนผลกระทบทางเศรษฐกิจมาตั้งแต่ช่วงการระบาดของ โควิด-19 จนทำให้เป็นหนี้จำนวนหลายร้อยล้านบาท

‘เชน’ ธนา โอดครวญว่า ทุกวันนี้เขาต้องพยายามทำงานหนัก เพื่อหาเงินใช้หนี้เป็นหลักหลายร้อยล้าน จนทำให้ชีวิตส่วนตัวมีปัญหาถึงขั้นใกล้แหลกสลาย แทบจะแตะตัวภรรยาไม่ได้เลย เพราะมีแต่จะร้องไห้ใส่กัน แต่ยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาฉ้อโกง และพร้อมจะรับผิดชอบจ่ายหนี้ทุกก้อนให้กับซัพพลายเออร์ทุกราย
เชนธนา ยังขอโอกาสในการสู้ต่อ โดยระบุว่าทุกวันนี้หนี้คือแรงกระตุ้นให้เขาลุกขึ้นมาพยายามต่อสู้ เพราะหากเป็น ‘ไอ้ขี้แพ้’ คงยอมแพ้ไปตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว แต่เพราะเขาทุ่มทั้งชีวิตให้กับอมาโด้ถ้า อมาโด้ตาย ตัวเขาก็คงตายไปด้วย
หากฟังจาก เชน ธนา อาจทำให้หลายคนคล้อยตาม และอาจสงสารหรือเห็นใจในชะตากรรมของเขา และอาจเชื่อจริง ๆ ว่าอมาโด้ กรุ๊ป ประสบปัญหาเนื่องมาจากโดนผลกระทบทางเศรษฐกิจในช่วงโควิด-19
แต่เมื่อไปพลิกดูฐานะทางการเงินจะพบความผิดปกติในหลายเรื่อง โดยเฉพาะในส่วนของ ‘งบดุล’ ของ ‘อมาโด้ กรุ๊ป’ ที่ปรากฏว่ามีหนี้สินรวมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าตกใจนับตั้งแต่ตั้งบริษัทเมื่อปี 2557

ในระยะเวลาเพียง 10 ปี หนี้สินรวมของอมาโด้ กรุ๊ปเพิ่มขึ้นจากระดับ 6.75 ล้านบาทในปีแรกคือปี 2557 ขยับขึ้นมาเรื่อย ๆ จนแตะหลัก 139 ล้านบาท ในปี 2561 และก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วแบบเท่าตัวทุกปี จนมีหนี้สินรวมในปี 2563 ขึ้นไปสูงถึง 591 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 964 ล้านบาทในปีถัดมาคือปี 2564 และขึ้นมาแตะหลัก 1,043 ล้านบาทในปี 2566 ที่ผ่านมา
ในขณะที่หนี้สินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนแตะระดับพันล้านบาท แต่ที่น่าประหลาดใจคือตัวเลขรายได้กลับ**‘ย้อนแย้ง’**ในทางตรงข้ามกับที่ควรจะเป็น คือมีรายได้พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในปี 2563-2564 ที่มีรายได้ทะลุหลัก 2 พันล้านบาท ถึงแม้จะลดลงมาเหลือเพียง 1,230 ล้านบาท ในปี 2566 ที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีกำไรราว 36.9 ล้านบาท และมีสินทรัพย์รวมราว 250 ล้านบาท
คำถามที่น่าสนใจคือ ทำไมทั้งๆที่มียอดรายได้ในแต่ละปีค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในช่วง 3-4 ปีหลัง ในระดับเกินพันล้านบาท แต่กลับปล่อยให้บริษัทมีภาระหนี้สินสูงเพิ่มสูงขึ้นถึงระดับพันล้านบาท
รายได้ของบริษัทส่วนใหญ่ที่เข้ามาหายไปที่ไหน ซึ่งมีความเป็นไปได้ 2 ทาง คือ มีการขายสินค้าออกไปในราคาที่ต่ำกว่าทุน ทำให้ประสบการขาดทุน และไม่มีเงินเหลือมากพอที่จะนำไปชำระหนี้การค้ากับบรรดา ‘ซัพพลายเออร์’ และ ‘สื่อ’ ที่ไปซื้อเวลาโฆษณา

สำหรับคนในแวดวงธุรกิจขายอาหารเสริม ถึงแม้จะทราบดีว่ามีการแข่งขันกันค่อนข้างรุนแรง จนสภาพตลาดไม่ต่างอะไรกับ ‘น่านน้ำสีเลือด’ หรือ Red Ocean ที่ต้องแย่งส่วนแบ่งการตลาดกันด้วยกลยุทธ์ด้านราคา
จนบางครั้งมีการ ‘ดัมพ์’ ราคาขาย ชนิดลดแลกแจกแถม เหมือน ‘แจกฟรี’ เพื่อทำยอดขายจนแทบไม่เหลือ ‘มาร์จิน’ กำไร แต่ก็คงไม่มีรายไหนที่ยอมขายขาดทุน จนมีภาระหนี้สินถึงระดับพันล้าน เพราะหมายถึงธุรกิจอาจเดินไปสู่การล้มละลายในที่สุด
ถึงแม้ในบางช่วงเวลา อาจจะมีเจตนายอมขายในราคาขาดทุน เพื่อสร้างยอดรายได้ หรือแก้ปัญหาสภาพคล่อง แต่ที่น่าสงสัยคือ มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า ที่ผ่านมารายได้ที่เข้ามาจากการขายส่วนใหญ่ ‘ไม่ได้นำไปชำระหนี้ค่าสินค้าและค่าสื่อโฆษณา’ แต่ถูกยักย้ายถ่ายเทออกไป เพื่อนำไปซื้อทรัพย์สินทั้งคฤหาสน์สุดหรูระดับหลายร้อยล้านบาท และสินทรัพย์ส่วนตัวอื่นๆ
ทั้งหมดก็เพื่อยกระดับตัวเองขึ้นเป็น ‘เซเลบริตี’ เฉิดฉายอยู่ในแวดวงสังคมชั้นสูง ตามค่านิยมแบบผิดๆของบรรดาเศรษฐีรุ่นใหม่ที่เสพติดการ ‘ตะโกน’ ผ่าน ‘โซเชียล มีเดีย’ ให้ทั้งโลกรู้
แต่เมื่อก้าวข้ามเส้นไปสู่เส้นทาง ‘สายดาร์ค’ เริ่มมีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ ในการทำธุรกิจคือเริ่ม ‘เหนียวหนี้’ และยิ่งเดินถลำลึกไปจนถึงขั้น ‘เบี้ยวหนี้’ กับซัพพลายเออร์บางราย ในที่สุดก็ต้องเดินมาถึงทางตันและต้องพบจุดจบอย่างที่ทั้ง เชน ธนา และภรรยา กำลังเผชิญวิบากกรรมอยู่ในเวลานี้ เมื่อเจ้าหนี้หมดความอดทน...
ขอบคุณ บริษัท CredenData จำกัด ผู้ให้บริการ https://data.creden.co/สนับสนุนข้อมูลผลประกอบการ และงบดุลบริษัทอมาโด้ กรุ๊ป จำกัด