แชร์ลูกโซ่ ลวงโลก #4 ‘ดิไอคอน กรุ๊ป’ ล่มสลาย โซเชียลมีเดีย ทำให้เกิดและดับ

24 ต.ค. 2567 - 02:30

  • บอสพอล รู้อยู่แล้วว่าอายุของแชร์ลูกโซ่ไม่ยั่งยืน

  • การต่ออายุธุรกิจนี้จึงเกิดขึ้นตลอดเวลา ดารา คนดัง เซเลป ต้องใช้

  • สุดท้าย โซเชียลมีเดียที่สร้างดิไอคอน กรุ๊ปขึ้นมาได้ ก็สามารถทำลายได้เช่นกัน

economic-business-theicon-code-SPACEBAR-Hero.jpg

กระบวนการ ‘แชร์ลูกโซ่ ลวงโลก’ ที่อำพรางมาในรูปแบบต่าง ๆ ในทุกยุคทุกสมัยต่างก็มี‘จุดเริ่มต้น และจุดจบ’ ไม่แตกต่างกัน

เมื่อการขยายเครือข่ายมาถึง ‘จุดอิ่มตัว’ และ ‘มนต์สะกด’ ที่ใช้ในกระบวนการสร้างภาพอันแสนแยบยลที่ใช้หลอก ‘เหยื่อ’ ให้มาหลงติดกับดักแห่งความโลภ เริ่มคลาย ‘มนต์ขลัง’ ทำให้ผู้คนตื่นจากนิทานขายฝัน เข็มนาฬิกาจะเริ่มนับถอยหลังและเดินไปสู่จุดจบเหมือนกันเกือบทุกราย หากหนีคดีไปทางช่องทางธรรมชาติไปเสวยสุขที่เมืองนอกไม่ทัน ก็ต้องปิดฉากเดินคอตกเข้าเรือนจำชดใช้กรรม 

แต่สำหรับ วรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ ‘บอสพอล’ ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกเดินเข้าสู่เส้นทาง ‘สายดาร์ค’ สร้างอาณาจักรสีแดง ‘ดิไอคอน กรุ๊ป’ ขึ้นมาเมื่อหกปีก่อน โดยยอมเสี่ยงคุกตาราง เพราะหวังจะรวยทางลัดกลายเป็นมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งในแบบที่โลกต้องอิจฉา 

เขามีการศึกษาบทเรียนความสำเร็จและล้มเหลวของธุรกิจในรูปแบบนี้มาเป็นอย่างดี จนมั่นใจว่ามีความพร้อม และเตรียม**‘บันไดหนีไฟ’**  หาทางโดดออกจากเส้นทางสายดาร์คนี้ไว้แล้ว 

ตามแผน Exit Strategy ของ ‘พอล’ ที่ถูกออกแบบไว้ล่วงหน้า เขาตระหนักดีว่าปัญหาต่างๆจะเริ่มตามมา เมื่อบรรดาบอสซึ่งส่วนใหญ่เป็นทีมขาย ‘ตัวตึง’ ที่ดึงมาจาก Jeunesse Global เพื่อมาสร้างอาณาจักร ‘ดิไอคอน กรุ๊ป’  เร่งในการทำยอดเปิดบิลเป็นตัวแทนจำหน่ายหรือ Dealer ในช่วงการระบาดของ โควิด-19 ในปี 2564 จนทำให้มียอดตัวแทนจำหน่ายทะลุขึ้นไปถึงกว่า 3.68 แสนราย สร้างรายได้ในปีเดียวพุ่งขึ้นไปถึงหลักเกือบ 5 พันล้านบาท 

สัญญาณเตือน เริ่มปรากฏชัดขึ้นในปีต่อมา เมื่อ ‘คอร์สสอนออนไลน์’ ที่เป็นสารตั้งต้นที่ใช้ในการดึงเหยื่อที่จะถูกขายฝันให้หลงเข้ามา ‘ติดกับดัก’เริ่มหมดเสน่ห์

ในขณะที่กลยุทธ์ขาย ‘ดราม่าชีวิต’ ของบรรดาบอสเพื่อ ‘ขายฝัน’ หว่านล้อมและกดดันให้เปิดบิลเป็นตัวแทนจำหน่ายเริ่มไม่ได้ผล เพราะเหยื่อจำนวนมากตกอยู่ในสภาพ ‘เจ๊ง’ เพราะสต็อกสินค้าจากยอดการเปิดบิลที่อยู่ในมือเริ่มล้นแต่ขายไม่ออก ความหวังที่จะรวยเริ่มห่างไกลไปทุกที

ยอดขายในปีถัดมาหลังปี 2564 จึงตกฮวบลงเหลือ 3 พันกว่าล้านบาทในปี 2565 และ เหลือเพียง 1.89 พันล้านบาท ในปีที่ผ่านมา เป็นสัญญาณเตือนให้ **‘พอล’**ต้องเริ่มนับถอยหลังโดดหนีจาก ‘เกมดูดทรัพย์’ เหยื่อที่แสนอัมหิตและโหดเหี้ยมที่ตัวเขาเองสร้างขึ้นมา

‘พอล’ พยายามพลิกเกม ‘ซื้อเวลา’ ต่ออายุวงจรอุบาทว์นี้ออกไปให้ยาวนานที่สุด โดยหันมาใช้ ‘ดารา’ มาเป็นลมใต้ปีกเพื่อช่วยพยุงธุรกิจในอีกรูปแบบหนึ่งนอกเหนือจากการเป็น ‘พรีเซ็นเตอร์’

‘กันต์ กันตถาวร’ , ‘มิน’ พีชญา วัฒนามนตรี และ ‘แซม’ ยุรนันนท์ ภมรมนตรี คือ ตัวเลือกที่ ‘พอล’ ใช้เป็นเครื่องมือ โดยให้ผลประโยชน์ล่อใจ ถึงขนาดยอมให้มานั่งแท่นบริหารใส่คำว่า ‘บอส’ นำหน้าชื่อ เพื่อให้คนเข้าใจว่าดาราเหล่านี้ มั่นใจในธุรกิจของบริษัทและกล้าเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหาร โดยเสนอส่วนแบ่งรายได้และสิ่งยั่วใจ ทั้งข้าวของเงินทองแบบไม่อั้นจนยากจะปฎิเสธ ทั้งหมดเพื่อช่วยพยุงภาพลักษณ์ของบริษัทภายใต้แนวคิด ‘ดาราพารวย’

การจ้างพวกบอสดาราค่าตัวแสนแพงได้ผล**‘เกินคาด’** และช่วยต่ออายุเกมดูดทรัพย์แชร์ลูกโซ่วงนี้มาได้อีกสองปี โดยอาศัยบรรดาผู้ติดตามดาราที่มีจำนวนหลายล้านคนบางส่วนที่พลัดหลงเข้ามาเป็นเหยื่ออันโอชะรายใหม่

แต่ในทางลึกแล้วทั้งหมดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนของของ ‘พอล’ ที่ต้องการใช้ ‘โมเมนตัม’ ในช่วงที่ดิไอคอน กรุ๊ป ยังมีภาพลักษณ์ของ ธุรกิจขายตรงดาวรุ่ง พุ่งแรงแห่งยุคออนไลน์ ในการ ‘ฟอกขาว’ แต่งตัว แปลงร่าง ‘ดิไอคอน กรุ๊ป’ ให้กลับเข้าสู่โมเดลธุรกิจธุรกิจขายตรงตามปกติ ในกลุ่มของสายอาหารเสริมและเครื่องสำอาง 

นอกจากนี้เขายังมีแผนที่จะขยายอาณาจักรของ ดิไอคอน กรุ๊ป ไปลงทุนในสายการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม หรือ Wellness ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ของการดูแลสุขภาพยุคใหม่ ที่ให้ความสำคัญทั้งในเรื่องของการป้องกันและดูแลรักษาสุขภาพ โดยมีการลงทุนจดทะเบียนตั้ง ‘บริษัท ดิ ไอคอน เวลเนส จำกัด’ ที่จดทะเบียนไว้ตั้งแต่ปี 2565 พร้อมกับกว้านซื้อที่ดินเอาไว้บางส่วน

จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือ แผน X ในการแสวงหาความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อปูทางไปสู่การนำบริษัทเข้าตลาดในทางอ้อมหรือ Backdoor Listing โดยการเจรจาในการเข้าไปร่วมทุน หรือร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นบางราย

วิธีการนี้ ‘พอล’ วาดฝันว่า นอกจากจะเป็นการ ‘ฟอกขาว’ ดิไอคอน กรุ๊ปแล้ว ยังอาจจะทำให้ พอล สามารถทำเงินได้อีกมหาศาลจากตลาดหุ้น

‘พอล’ ใช้ ‘บอสปีเตอร์’ ณัญปพนต์ หรือ กลด เศรษฐนันท์ มือการเงินของดิไอคอน กรุ๊ป เป็นคนเดินเกม ในการหาเป้าหมาย บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่จะเข้าไปเจรจาซื้อหุ้นร่วมทุน 

MGI หรือ บริษัทมิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ของ ‘ณวัฒน์ อิสรไกรศรี’ เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ ‘พอล’ ต้องการใช้ในการแต่งตัวปรับภาพลักษณ์ของดิไอคอน กรุ๊ป เพราะทิศทางของธุรกิจคล้ายคลึงกัน และคาดว่า ณวัฒน์ อาจจะสนใจ  

มีการติดต่อไปยัง ณวัฒน์ โดยระบุว่าสนใจจะเป็นสปอนเซอร์การจัดประกวด มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล แต่หลังจากที่มีการพบกันที่ สำนักงานใหญ่ของ ดิไอคอน กรุ๊ป ที่รามอินทรา ‘พอล’ และ ‘ปีเตอร์’ กลับดูไม่ค่อยสนใจในเรื่องการซื้อสปอนเซอร์การจัดประกวด แต่กลับแสดงท่าทีเหมือนอยากแสวงหาแนวทางในการร่วมดำเนินธุรกิจกับ MGI มากกว่า

แต่ ‘ดีล’ นี้ล่มไปตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มเจรจาลึกลงในรายละเอียด เพราะณวัฒน์มีความรู้สึกไม่ถูกชะตากับทั้งสองคน และรู้สึกว่าอาจถูกเอาเปรียบทางธุรกิจ

นอกเหนือจากความพยายามในการ ‘ฟอกขาว’ ดิไอคอน กรุ๊ป แล้ว พอลยังเริ่มนับถอยหลังเดิน ‘แผนสำรอง’ ในการฟอกเงิน**‘สีเทา’** ผ่านกระบวนการแปรสภาพทรัพย์สิน โดยการนำเม็ดเงินที่ได้มาไปซื้อสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแบรนด์เนม รถหรู ‘ซูเปอร์คาร์’  ซื้อที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ หรือนำเงินไปลงทุนในหุ้น และสินทรัพย์ดิจิตอลอย่าง Crypto Currency จำนวนมหาศาล  

แต่ในที่สุด ‘คนคำนวณ หรือจะสู้ฟ้าลิขิต’ ในที่สุดฉากจบของ มหากาพย์ธุรกิจขายตรงลวงโลกดิไอคอน กรุ๊ปก็มาถึงเร็วกว่าที่พอลคาดไว้ แผน ‘บันไดหนีไฟ’ ของเขาต้องพังทลายลง และหนีไม่พ้นเงื้อมมือกฎหมาย จนต้องจัด ‘ทริป’ พิเศษไปพักใจอยู่เรือนจำคลองเปรมอยู่จนถึงเวลานี้ 

‘จุดตาย’ ที่พอลมองข้ามและประเมินผิดพลาด ชนิดไม่น่าให้อภัยตัวเองคือการประเมินพลานุภาพของ ‘โซเชียลมีเดีย’ ที่เป็นอาวุธที่สำคัญในการสร้างตัวตนปลอม ๆ และอาณาจักรดิไอคอน กรุ๊ป ของเขาขึ้นมาผิดพลาด และมันกลับกลายเป็นอาวุธที่ ‘ย้อนศร’ มาทำลายอาณาจักรของเขาจนพังทลายลงในชั่วพริบตา 

เมื่อบรรดาเหยื่อที่เป็นผู้เสียหายหลายพันคน ตื่นจาก ‘ฝันร้าย’และลุกขึ้นมา ‘ตะโกน’ ผ่านสื่อหลัก บนทุกแพลตฟอร์มของ‘โซเชียลมีเดีย’ จนสร้างแรงสั่นสะเทือนไปในทุกอณูของสังคมไทยในเวลานี้

โปรดติดตามตอนต่อไป

กลยุทธ์ความลับคืออาวุธ

เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง...

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์