สัญญาณจากแบงก์ชาติถึงนายกฯ ไม่มีประชุม กนง.เพื่อลดดอกเบี้ย

ธนาคารแห่งประเทศไทย เผยแพร่รายงานฉบับย่อ มติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งมีมติ 5 ต่อ 2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 2.50การเผยแพร่รายงานนี้ เป็นไปตามกำหนดการปกติ ที่จะมีขึ้นหลังการประชุม กนง. 2 สัปดาห์ 

วันเดียวกัน (21 ก.พ.67) สำนักข่าวนิคเคอิ เอเชีย เผยแพร่ บทสัมภาษณ์ผู้ว่าแบงก์ชาติ เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ทั้งรายงานที่ประชุม กนง. และการให้สัมภาษณ์ของผู้ว่าฯ ประเด็นสำคัญ คือ เศรษฐกิจไทยไม่วิกฤต แต่ฟื้นตัวช้า และกำลังฟื้นตัว

ปัจจัยหลักที่ทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า คือ 

1. ภาคการส่งออกและการผลิต สินค้าอุตสาหกรรมที่ชะลอตัว เนื่องจากอุปสงค์สินค้าโลกและคู่ค้าสำคัญโดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนยังคงฟื้นตัวช้า ท่ามกลางปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยโดยเฉพาะด้านความสามารถในการแข่งขันที่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อภาคการส่งออกและการผลิต
2. รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ปรับต่ำลงแม้จำนวนนักท่องเที่ยวจะปรับตัวดีขึ้น ส่วนหนึ่งจากการเปลี่ยนพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่มีวันพักเฉลี่ยน้อยลง ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายต่อทริปลดลง
3. การลงทุนภาครัฐที่ลดลงมากเป็นพิเศษในช่วงที่งบประมาณรายจ่ายประจำปีล่าช้า

“ถ้าเราลดดอกเบี้ย ไม่ได้ทำให้นักท่องเที่ยวจีนใช้จ่ายมากขึ้น หรือทำให้บริษัทจีนนำเข้าปิโตรเคมีจากไทยมากขึ้น หรือทำให้รัฐบาลใช้จ่ายงบประมาณเร็วขึ้น ทั้งสามเรื่องนี้ คือ ปัจจัยหลักที่ทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัว”

ข้อสรุปของผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ คือ การส่งสัญญาณให้รู้กันว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจโตช้า และ กนง. จะไม่เรียกประชุมนัดพิเศษ เพื่อลดดอกเบี้ย สนองความต้องการของ นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน

เศรษฐพุฒิ บอกว่า  การคงดอกเบี้ยในอัตราสูง มีผลกระทบกับลูกหนี้ แต่การลดดอกเบี้ย ก่อนเวลาที่เหมาะสม จะมีความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน ที่มีสัดส่วนหนี้ครัวเรือนมากกว่า 90 % ของจีดีพี  

เขาคิดว่า การเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือน เป็นเพราะที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยต่ำ เป็นเวลานานมาก  สร้างแรงจูงใจให้มีการก่อหนี้ การลดดอกเบี้ย จะเป็นการส่งสัญญาณที่ผิด ในความพยายามที่จะแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน