ยุคนายกฯ ‘เศรษฐา’ มหาเศรษฐียังจนลง

3 ก.ค. 2567 - 12:29

  • ผลงานการบริหารประเทศของรัฐบาลเพื่อไทย

  • มีผลงานสำเร็จอย่างเดียวคือ ทำให้ทุกคนจนลงตั้งแต่ชาวบ้านยันเศรษฐี

  • ฟอร์บส์รายงานเป็นครั้งแรกที่ เฉลิม อยู่วิทยา ขึ้นที่หนึ่งแซง ธนินท์ เจียรวนนท์

economy_forbes_magazine_thai_billionaires_SPACEBAR_Hero_7ceb8d99eb.jpg

หายังจำกันได้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง มีการสร้างแคมเปญในหมู่สาวกพลพรรคสีแดง ของพรรคเพื่อไทยว่า ‘นายกฯ ชื่อเศรษฐา คนไทยจะเป็นเศรษฐี’ และต่อยอดตามมาสู่การชูป้าย ‘เลือกเศรษฐา คนไทยจะได้เป็นเศรษฐี’

10 เดือนผ่านไป มาถึงวันนี้คงพิสูจน์ชัดแล้วว่าในความเป็นจริงแม้แต่เศรษฐียัง ‘จน’ ลงกันถ้วนหน้า หากดูจากการจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีไทยในปี 2024 ของนิตยสาร ‘ฟอร์บส์ Forbes’ ล่าสุดที่ปรากฏว่า ‘ความมั่งคั่ง’ ของบรรดาเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดของประเทศ ‘ลดลง’ ถึง 12% เหลือเพียง 1.53 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 5.5 ล้านล้านบาท จาก 1.73 แสนล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว

ความมั่งคั่งของบรรดา 50 มหาเศรษฐีไทยหดหายไปถึง 2 หมื่นล้านเหรียญหรือราว 7.2 แสนล้านบาท ในปีเดียวซึ่งเป็นผลโดยตรงมาจาก ‘ความไม่แน่นอนทางการเมือง’ และ ‘นโยบายเศรษฐกิจที่ขาดความชัดเจน’ ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน จนทำให้มีแรงเทขายหุ้นและตราสารหนี้ออกมาจากต่างชาติ ซึ่งส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยทรุดลงกว่า 15% จากปีที่แล้ว

โดยดัชนีดำดิ่งลงมาต่ำกว่าระดับ 1,300 จุด และยังฉุดให้เงินบาทไทยอ่อนค่าลงมาอยู่ใกล้แตะอัตราเหรียญละ 37 บาท อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ส่งผลให้มูลค่าหุ้นที่อยู่ในความครอบครองของบรรดามหาเศรษฐีเหล่านี้ ‘หดหาย’ ไปมหาศาล 

บรรดามหาเศรษฐีใน 10 อันดับแรก มีเพียงรายเดียวคือ ‘เฉลิม อยู่วิทยา’ ที่มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น และสามารถเบียดแซง ‘เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์’ ที่เคยครองตำแหน่งอันดับหนึ่งมาอย่างยาวนาน ขึ้นมาครองตำแหน่งแทน โดยความมั่งคั่งขึ้นมาอยู่ที่ 3.6 หมื่นล้านเหรียญ หรือราว 1.32 ล้านล้านบาท รวยเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วราว 2.6 พันล้านเหรียญ 

‘เฉลิม’ เจ้าพ่อกระทิงแดง สามารถขยับขึ้นสู่อันดับ 1 ได้สำเร็จ จากการที่ธุรกิจเครื่องดื่มชู Red Bull  หรือ ‘กระทิงแดง’ เครื่องดื่มชูกำลังได้รับความนิยมและขายได้มากกว่า 1.2 หมื่นล้านกระป๋องทั่วโลกในปีที่ผ่านมา

ในขณะที่ตระกูลเจียรวนนท์ ของเจ้าสัวธนินท์ CP กลับมีความมั่งคั่งลดลง จากปัญหา ‘การขาดทุน’ในธุรกิจประกันภัย ‘ผิงอัน’ ที่ซื้อกิจการมาจากจีน ทำให้สินทรัพย์ลดลงเหลือราว 2.9 หมื่นล้านเหรียญ หรือราว 1.06 ล้านล้านบาท

ส่วนอันดับสาม คือ ‘เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี’ เจ้าของไทยเบฟเวอเรจ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่ม ‘ช้าง’ มีทรัพย์สินราว 1 หมื่นล้านเหรียญ หรือ ราว 3.68 แสนล้านบาท

ใน 10 อันดับแรก อันดับสี่ ยังเป็นครอบครัว ‘จิราธิวัฒน์’ เจ้าของกลุ่มเซ็นทรัลฯ ผู้พัฒนาห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศ มีมูลค่าทรัพย์สินราว  9.9 พันล้านเหรียญ 

อันดับ 5 ‘สารัชถ์ รัตนาวะดี’ เจ้าของและซีอีโอของ กลุ่มกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ยักษ์ใหญ่ในวงการพลังงาน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิราว9.2 พันล้านเหรียญ โดยมีการเข้าถือหุ้นใน InTouch Holdings ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมและหน่วยไร้สาย Advanced Info Service (AIS) 

อันดับ 6-10 ประกอบด้วย ‘หมอปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ’ เจ้าของโรงพยาบาลกรุงเทพ  

‘อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา’ ผู้รับสืบทอดอาณาจักรคิงส์พาวเวอร์ ‘วานิช ไชยวรรณ’ เจ้าของไทยประกันชีวิต ครอบครัว ‘โอสถานุเคราะห์’ แห่งโอสถสภาฯ และ ‘ประยุทธ์ มหากิจศิริ’ เจ้าพ่อเนสกาแฟ

บรรดามหาเศรษฐีเหล่านี้ส่วนใหญ่ต่างร่ำรวยลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้ โดยเฉพาะ ‘สมโภชน์ อาหุนัย’ แห่ง EA พลังงานบริสุทธิ์ ที่มีความมั่งคั่งลดลงถึง 2/3โดยมีมูลค่าทรัพย์สินดลงเหลือเพียง 995 ล้านเหรียญ ร่วงจากอันดับ 10 ลงมาอยู่ที่อันดับ 32 ซึ่งสาเหตุหลักมาจากมูลค่าของหุ้นมีการ‘ปรับราคาลดลง’ อย่างรุนแรงในช่วงปีที่ผ่านมา 

เห็นตัวเลขแบบนี้แล้ว บรรดามหาเศรษฐีเหล่านี้คงไม่ค่อย ‘ปลื้ม’ กับผลงานการบริหารงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลนายกฯเศรษฐา นักกู้ผ้าขาวม้าพันคอสักเท่าไร เพราะจะครบขวบปีอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นผลงานด้านนโยบายเศรษฐกิจอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันมากนัก และยิ่งนับวันก็ดูจะเดินหลงทิศหลงทางไปมากขึ้นทุกที จนดูเหมือนจะทำให้คนไทยจนลงโดยถ้วนหน้าทั้งเศรษฐีและยาจก...

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์