คงเพราะ นายกฯ เศรษฐา ผ้าขาวม้าหลากสี เป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูง และคงอยากได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำในระดับโลก เขาจึงมีความมุ่งมั่นและตั้งใจในการผลักดันให้ ‘หนังสือเดินทางไทย เดินทางได้ทั่วโลก’ เป็นผลงานระดับ ‘มาสเตอร์พีซ’ ของตัวเอง
ตามนโยบายหาเสียงที่พรรคเพื่อไทยเคยประกาศไว้ในการเลือกตั้งใหญ่เมื่อปี 2566 ที่ต้องการให้คนไทยมี ‘ศักดิ์ศรี’ สามารถเดินทางไปได้ทั่วโลกโดยไม่ต้องขอวีซ่า ซึ่งในสายตาของคนไทยส่วนใหญ่ก็ ‘ยังไม่รู้’ ว่ามันสำคัญตรงไหนเหมือนกัน
แต่ในความเป็นจริงความฝันดังกล่าวจะเป็นจริงได้หรือไม่ ยังเป็นคำถามที่คนในแวดวงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างทราบดีว่า ‘ไม่ใช่เรื่องง่าย’ และคำตอบก็ไม่ได้อยู่ที่การเดินสายไปเอ่ยปากเจรจาขอบรรดาผู้นำของประเทศต่าง ๆ อย่างที่นายกฯ เศรษฐา มีความเชื่ออยู่ในเวลานี้
เพราะกุญแจสำคัญอยู่ที่ภาพลักษณ์ในหลาย ๆ มิติของประเทศไทยเราเองในสายตาของต่างชาติมากกว่า
หลังจากประสบความสำเร็จในการเจรจาทำข้อตกลงฟรีวีซ่ากับประเทศจีนได้ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์การทูตไทย-จีน ในปี 2568 นายกฯ เศรษฐาก็ดูจะ ‘คึกคัก’ เป็นพิเศษ และเร่งเดินหน้าเจรจาขอฟรีวีซ่ากับ ประเทศในประชาคมยุโรป หรือ EU เพื่อขยายข้อตกลง ‘เชนเก้น’ รวมถึงสหราชอาณาจักร เพื่อเพิ่มพลังให้ ‘พาสปอร์ตไทย’
นายกฯเศรษฐา อาจมีความเชื่อว่าหาก สหภาพยุโรปที่มีถึง 27 ประเทศ ยอมเปิดวีซ่าฟรี
‘เชงเก้น’ (Schengen Visa)ให้กับไทย ก็จะทำให้ประเทศอื่น ๆ จะยินดีที่จะให้วีซาฟรีกับคนไทยเช่นเดียวกัน
ปัจจุบันพาสปอร์ตไทยสามารถเดินทางไปยังประเทศและดินแดนต่าง ๆ โดยไม่ต้องขอรับการตรวจลงตราหรือวีซ่า หรือที่เรียกว่า ‘วีซ่าฟรี’ ได้ 34 แห่ง เช่น กลุ่มประเทศอาเซียน บางประเทศในกลุ่มประเทศละตินอเมริกา รวมถึงมองโกเลีย จอร์เจีย ตุรกี รัสเซีย กาตาร์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ฮ่องกง มาเก๊า และ ฮ่องกง โดยช่วงเวลาที่อยู่ในแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน 30-60 วัน
นอกจากนี้ ยังมีอีก 10 ประเทศ/ดินแดน ที่ใช้หนังสือเดินทางไทยแบบธรรมดาเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าล่วงหน้า แต่ใช้เพียง ‘Visa on arrival’ หรือ VOA เมื่อเดินทางมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองของประเทศนั้น ๆ เช่น โบลิเวีย ฟิจิ จอร์แดน คีร์กีซสถาน เนปาล นิการากัว นีอูเอ โอมาน หมู่เกาะโซโลมอน และ ติมอร์-เลสเต
เจตนาของนายกฯ เศรษฐา คงต้องการที่จะให้ในอนาคตคนไทยสามารถจะพกพาสปอร์ตเล่มเดียวก็สามารถเดินทางไปได้ทั่วโลก โดยไม่ต้องเสียเวลาไปของวีซ่าจากสถานทูตประเทศนั้นๆ หรือ ต้องไปยื่นขอ Visa on arrival หรือ VOA เมื่อเดินทางมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองของประเทศนั้น
อาจเพราะเหตุนี้ตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา นายกฯ เศรษฐา จึงพยายามที่จะใช้ทุกโอกาสที่พบปะกับบรรดาผู้นำประเทศต่างๆของสหภาพยุโรปเอ่ยปากเจรจาขอให้ช่วยผลักดัน ‘วีซ่าฟรีเชงเก้น’ ให้กับหนังสือเดินทางไทย และกลายเป็นหัวข้อหลักเรื่องหนึ่งนอกเหนือจากการหารือทางการค้าและการลงทุนอื่น ๆ
แต่ในสายตาของคนในกระทรวงการต่างประเทศแล้ว หลาย ๆ คนต่างมีอาการ ‘น้ำท่วมปาก’ เพราะทราบดีว่า ปัจจัยในการพิจารณาจะให้วีซ่าฟรีแก่ประเทศใดนั้น คงไม่ได้อยู่ที่การเจรจา หรืออาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวในระดับผู้นำประเทศเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ‘ภาพลักษณ์’ ของประเทศนั้น ๆ ในเวทีระหว่างประเทศมากกว่า ซึ่งต้องพิจารณาจากหลายองค์ประกอบ
ความจริงก่อนหน้านี้กระทวงการต่างประเทศ ก็เคยรายงานให้นายกฯเศรษฐาทราบว่าสหภาพยุโรปหรือ EU ได้มีหนังสือตอบกลับอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วว่า ‘ไม่มี’ นโยบายพิจารณายกเว้นวีซ่าให้แก่พลเมืองประเทศใดประเทศหนึ่งโดยการร้องขอของประเทศนั้นเพียงประเทศเดียว เนื่องจากการพิจารณายกเว้นวีซ่าของอียูนั้นจะพิจารณาเป็นรอบๆ ซึ่งจะนำคำขอของหลายประเทศมาพิจารณารวมกัน และจะเปิดพิจารณาอีกครั้งช่วงกลางปี 2568
ที่สำคัญในการพิจารณายกเว้นวีซ่าให้กับประเทศใดนั้น นอกจากจะต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ใกล้ชิดกันแล้ว ยังต้องคำนึงถึงมิติในด้านต่าง ๆ เช่น ความเป็นประชาธิปไตย ความแข็งแรงทางเศรษฐกิจ การเคารพหลักสิทธิมนุษยชน ปัญหาการลักลอบเข้าเมืองของพลเมืองประเทศนั้น ๆ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยว และความเชื่อมโยงกันในระดับภูมิภาค
เพราะเหตุนี้ หากเราหวังจะได้ ‘วีซ่าฟรีเชนเก้น’ อย่างที่นายกฯ เศรษฐา มุ่งหวัง คำตอบจึงไม่ได้อยู่ที่การเดินสายไปพบปะบรรดาผู้นำชาติต่างๆ แต่สิ่งที่เราต้องเร่งดำเนินการคือ ‘กลับมาทำการบ้าน’ ในประเทศ เพื่อทำให้สหภาพยุโรป เปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับประเทศไทย ยอมรับในความเป็นประเทศประชาธิปไตยของเรา สร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ และเร่งแก้ปัญหาภาพลักษณ์ด้านลบในเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องของ ‘อาชญากรรมข้ามชาติ’ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาการฟอกเงิน ค้ามนุษย์ ค้ายาเสพติด สแกมเมอร์ออนไลน์ ค้าสัตว์ป่า และอีกสารพัดปัญหาในบ้านเราเอง
พูดง่าย ๆ คือ นายกฯ เศรษฐา กำลัง ‘ขยันผิดที่’ เพราะตราบใดที่เราไม่กวาดบ้านเราให้สวยงาม ภาพลักษณ์ของไทยในสายตาต่างชาติยังคงมีแต่ภาพลบ จะเสียเวลาเดินสายไปจับมือกับผู้นำทั้งโลกก็คงช่วยอะไรไม่ได้...
วีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa) คืออะไร
วีซ่าเชงเก้นนั้นใช้ได้กับประเทศแถบยุโรปที่เป็นสมาชิก Schengen Visa เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยว ที่เดินทางไปเที่ยวยุโรปหลายประเทศต่อเนื่องกันในทริปเดียว โดยสามารถยื่นคำร้องขอวีซ่า แบบเดินทางเข้า - ออกครั้งเดียว หรือเดินทางเข้า - ออกหลายครั้งก็ได้ แต่รวมเวลาที่พำนักต้องไม่เกิน 90 วัน ภายในระยะเวลา 6เดือน โดยเริ่มนับตั้งแต่วันแรกที่เดินทางเข้าประเทศในกลุ่มสัญญาเชงเก้น
การทำ Schengen Visa จะทำให้นักท่องเที่ยวไม่ต้องเสียเวลายื่นวีซ่าขอเข้าประเทศ กับทุก ๆ ประเทศที่จะเดินทางเข้าไปเที่ยว มีเพียง Schengen Visa ก็สามารถ เข้าได้ทุกประเทศที่เป็นสมาชิก Schengen สำหรับ Schengen Visaนั้น ให้ยื่นคำร้องขอวีซ่าต่อสถานทูตของประเทศที่จะเดินทางเข้าไปเป็นประเทศแรกที่ผู้เดินทางเดินทางไปถึงยุโรป (ตัวอย่างเช่น เดินทางไป อิตาลี - สวิส - ฝรั่งเศส ประเทศที่จะออก Schengen Visa ให้คืออิตาลี
รายชื่อประเทศที่สามารถใช้ Schengen Visa ได้
Austria, Belgium, Czech Republic, Denmark, Estonia, Finland, France, Germany, Greece, Hungary, Iceland, Italy, Latvia, Lithuania, Luxembourg, Malta, Netherlands, Norway, Poland, Portugal, Slovakia, Slovenia, Spain, Sweden, Switzerland, Liechtenstein
Schengen Visa มีอายุเท่าไร?
วีซ่าเชงเก้นขึ้นอยู่กับรายการท่องเที่ยว (Itinerary) ที่คุณจะเดินทาง เช่น คุณเดินทางไปยุโรป 15 วัน ก็ได้ วีซ่าเชงเก้น 15 วัน หรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของสถานทูตเจ้าหน้าที่