ไม่ว่าจะเป็นผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ที่มีการขับเคี่ยวกันระหว่าง ‘บิ๊กแจ๊ส’ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่างกับ ’ชาญ พวงเพ็ชร์’ อดีตนายก อบจ.ปทุมธานีหลายสมัย แม้จะจบลงด้วยชัยชนะแบบหวุดหวิดของ ’ชาญ‘ แต่การเลือกตั้งยังส่งผลกระเพื่อมไปถึงบางบอน
กระเพื่อมตรงไปยัง ‘ตระกูลอยู่บำรุง’ ที่ท้ายสุด ‘วัน อยู่บำรุง’ ต้องลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนำไปสู่การลาออกจากพรรคเพื่อไทย ก่อนจะไปปรากฏตัวที่พรรคพลังประชารัฐ
ปรากฏการณ์นี้เป็นสัญลักษณ์ที่ส่อให้เห็นชัดว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง ‘บ้านจันทร์ส่องหล้า’ และ ‘บ้านบางบอน’ กำลังจะสิ้นสุดลง เหลือเพียงใยเส้นสุดท้ายที่ ‘ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง’ จะเดินออกจากพรรคหรือถูกขับออก เพื่อให้สมาชิกสภาพ ส.ส.ยังคงอยู่ และ ‘กาโม่’ อาชวิน อยู่บำรุง ลูกชายของวัน จะลาออกจากที่ปรึกษารัฐมนตรีดีอีเอสหรือไม่
แรงกระเพื่อมทางการเมืองอีกระลอก เป็นปรากฏการณ์บนเขาใหญ่ ที่ปรากฏภาพ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ และ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ พร้อมคนดังทั้งทางการเมืองและแวดวงธุรกิจร่วมวงกอล์ฟกันแบบชื่นมื่น ทั้งที่ก่อนนี้ ‘อนุทิน’ ออกมาแสดงความไม่สบายใจเรื่องนโยบายคืนกัญชากลับเข้าไปสู่บัญชียาเสพติด จนถึงขั้นออกมาให้สัมภาษณ์สื่อว่า จะโหวตสวนคัดค้านทันทีที่กฎหมายฉบับนี้ถูกส่งเข้าสภา
แรงกระเพื่อมบนเขาใหญ่ คล้ายจะสยบความคุกรุ่นระหว่าง ‘พรรคเพื่อไทย’ และ ‘พรรคภูมิใจไทย’ ในเรื่องนโยบายกัญชา
จากนั้นจึงเห็นภาพก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรีได้เชิญ ‘อนุทิน’ และ ’สมศักดิ์ เทพสุทิน’ รมว.สาธารณสุข ร่วมหารือพูดคุย ก่อนที่ ’อนุทิน‘ จะออกมาบอกสื่อว่า “นายกฯให้เงียบ ๆ เดี๋ยวท่านจัดการเอง”
แต่หากมองให้ลึก แรงกระเพื่อมนี้เป็นความเคลื่อนไหวที่ ‘ทักษิณ’ เดินเกมมาแล้วระยะหนึ่ง อันเป็นความเคลื่อนไหวของการเดินเข้าหาบ้านใหญ่ในหลายพื้นที่ เดินเพื่อสร้างความร่วมมือ เดินเพื่อกระชับความสัมพันธ์เก่า แต่ไม่ได้เดินเพื่อเข้าไปกวาดต้อน และยึดครองกลับเข้าพรรคเหมือนในยุคก่อน
การปรากฏตัวของ ‘ทักษิณ’ กับกลุ่มการเมืองบ้านใหญ่ในหลายพื้นที่ รวมถึงกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ จึงเป็นปรากฏการณ์อีกรูปแบบ ปรากฏการณ์แห่งการสร้างความร่วมมือ มิได้เป็นปรากฏการณ์แห่งการครอบครอง
นอกจากนั้นยังเป็นปรากฏการณ์ของการสร้างศัตรูร่วม ปรากฏการณ์ที่อธิบายถึงภัยคุกคามทางการเมืองร่วมในทุกพื้นที่ หากยังเพิกเฉยต่อการเคลื่อนตัวของ ‘พรรคก้าวไกล’ ที่ลุกลามขยายตัวไปแทบทุกหัวระแหง
ปรากฏการณ์ที่บอกว่า การเดินเกมทางการเมืองที่ต่างคนต่างเดิน วันนึงจะเดินหน้าไปพบกับความพ่ายแพ้แบบหมดรูป ทั้งการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นและการเลือกตั้งในระดับประเทศ
การปรากฏตัวของ ‘ทักษิณ’ ในหลายพื้นที่ จึงเป็นอีกหนึ่งแรงกระเพื่อมทางการเมือง ที่แม้ไม่กระเพื่อมหนัก แต่จะกระเพื่อมเป็นระยะ จนกว่า ‘ทักษิณ’ จะบรรลุเป้าหมายในการสร้างพันธมิตรครบทุกพื้นที่
แต่แรงกระเพื่อมทางการเมืองระลอกใหญ่ อันเป็นแรงกระเพื่อมของการสร้างสมการอำนาจใหม่ และเป็นแรงกระเพื่อมที่ส่งผลต่อการสร้างดุลอำนาจทางการเมือง เป็นแรงกระเพื่อมอันมาจากผลการเลือก สว.รูปแบบใหม่ ที่ออกแบบมาโดยรัฐธรรมนูญปี 2560
ผลการเลือก สว.แบบเลือกกันเองใน 20 กลุ่มอาชีพ ที่สร้างปรากฏการณ์สีน้ำเงินเต็มสภา…
วันนี้กำลังเป็นแรงกระเพื่อมทางการเมือง ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนดุลอำนาจทางการเมืองที่ชัดเจนยิ่งปรากฏชัด เมื่อนับวัน ‘คลื่นสีน้ำเงิน’ ยิ่งขยายตัวเพิ่มขึ้น จาก 120 ที่นั่งในวันรับรองผล สว.
ล่าสุดแมลงวันหัวเขียวตัวใหญ่ในสภา ‘บิน’ ออกมารายงานว่า ตัวเลขเพิ่มสูงขึ้นเป็น 140 – 150 ที่นั่งไปแล้ว และดูจากวันโหวตเลือกประธานวุฒิสภาและรองประธาน ก็ล้วนเป็นไปตามโผทุกตำแหน่งชัดเจน
และนั่นยังหมายถึง เมื่อรวมกับที่นั่งของ ส.ส.ภูมิใจไทยอีก 70 คน คลื่นสีน้ำเงินในรัฐสภา จะมีจำนวนสูงถึง 210 – 220 ที่นั่งในรัฐสภา จากจำนวนเต็ม 700 กรณีที่มีการประชุมร่วมของทั้งสองสภา และมี 140 – 150 ที่นั่ง จากจำนวนเต็ม 200 ที่นั่งในการประชุมวุฒิสภา
มาถึงวันนี้ ‘พลพรรคสีน้ำเงิน’ ได้ขยับขึ้นเป็นแกนอำนาจทางการเมืองอีกหนึ่งแกนแบบเต็มตัว นอกเหนือจากแกนอำนาจ 148 เสียงจากพรรคก้าวไกล และ 142 เสียงของพรรคเพื่อไทย ในสภาผู้แทนราษฎร
ในสภาผู้แทนราษฎร ‘พรรคภูมิใจไทย’ อาจเป็นพรรคอันดับ 3 เพราะมีส.ส.เพียง 70 ที่นั่ง แต่ในการประชุมรัฐสภา หากตัวเลขนี้เป็นจริง พรรคภูมิใจไทยจะขยับขึ้นเป็นพรรคอันดับหนึ่งทันที
ตัวเลข 210 – 220 เสียงในการประชุมรัฐสภา เป็นตัวเลขที่มีนัยยะยิ่งต่อการผ่านกฎหมายแต่ละฉบับ ตัวเลข 140 – 150 เสียงในการประชุมวุฒิสภา ยิ่งเป็นตัวเลขที่มีนัยยะกว่า ต่อการสรรหาคณะกรรมการในองค์กรอิสระสำคัญ ๆ แต่ละองค์กร
แกนอำนาจใหม่สีน้ำเงิน กำลังเป็น ‘โมเมนตัมสีน้ำเงิน’ ทางการเมืองที่น่าจับตายิ่ง และเป็นการสร้างดุลยภาพทางการเมืองที่ไม่เปิดโอกาสให้พรรคใดยิ่งใหญ่เพียงพรรคเดียว ดั่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
‘ทักษิณ’ อาจถูกหยิบยกมาสร้างคลื่นสีแดง เพื่อต้านทานความแรงของ ‘คลื่นสีส้ม’ แต่เมื่อ ‘คลื่นสีแดง’ ทำได้เพียงยันการเติบโตของคลื่นสีส้ม และมีแนวโน้มอาจยันเกมรุกไม่อยู่ พร้อม ๆ กับท่าทีที่มีอาการเดินนอกเกม และเดินนอกดีล ‘คลื่นสีน้ำเงิน’ จึงจำเป็นต้องเกิดขึ้น และต้องเป็นระลอกใหญ่พอที่จะถ่วงดุลระหว่างสีส้มและสีแดงได้
เกมการเมืองภายใต้สมการอำนาจใหม่รอบนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ชัยชนะของ ‘คลื่นสีน้ำเงิน’ จากการเลือกตั้ง สว.ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโชคช่วย ทั้งหมดล้วนถูกเขียนบทขึ้นมาทั้งสิ้น
แต่ใครเขียนสมการอำนาจใหม่นี้ ใครเป็นคนกำหนดดุลอำนาจใหม่ และใครเป็นกุนซือ คน ๆ นี้ต่างหากที่เป็นเซียนการเมืองตัวจริง
เซียนที่เป็นคนวางกลทางการเมือง ที่ตัวละครแต่ละตัว ล้วนไม่อาจผงาดขึ้นมาคุมเกมการเมืองได้เพียงฝ่ายเดียว
และที่สำคัญยิ่งและสำคัญสุด เกมนี้เบรกเกมแก้กฎหมาย ‘เกมรุกทางสภา’ ที่หวังจะแก้กฎหมายบางฉบับ เบรกเกมปฏิรูปการเมืองใหม่ผ่านรัฐสภาได้อย่างชัดเจน
เพราะทุกมือของ สว.สีน้ำเงิน เป็นมือที่ยากต่อการแตกแถว ยากต่อการซื้อตัว ระบบการบริหารจัดการแบบสีน้ำเงิน ไม่ได้วางกลไกให้ใครกล้าแตกแถว หากเป็นกลไกที่วางไว้ให้มีแต่ทางเข้า เปิดให้เข้าเพิ่มได้ และไม่ได้มีกลไกให้มีทางออก
ถ้าไม่เชื่อ…โปรดรอชมผลการโหวตแต่ละครั้งในวุฒิสภา แล้วจะเห็น ‘กลไกสีน้ำเงิน’ ที่ชัดเจนยิ่ง