ในอดีตแนวคิดในเรื่องการนำธุรกิจการพนัน อย่างบ่อนกาสิโน หรือ หวยใต้ดินที่ถูกมองว่าเป็นเศรษฐกิจใต้ดินให้ขึ้นมาอยู่บนดินแบบถูกกฎหมายเป็นเรื่องที่อาจจะถือว่าเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับสังคมไทยที่เป็นเมืองพุทธ และจะถูกมองว่าไม่ต่างอะไรกับการหาญกล้าไปเปิด ‘กล่องแพนโดรา’ที่มีแต่สิ่งชั่วร้ายและจะนำมาซึ่งความวิบัติในสังคม และจะมีแรงต้านอย่างรุนแรงตามมาจากฝ่ายที่คัดค้าน
มาถึงวันนี้มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้สังคมไทยยอมรับกับกรอบแนวคิดและการตัดสินใจเดินหน้าด้วยความ ‘เร่งรัด’ และ ‘เร่งรีบ’ แบบผิดปกติของนายกฯ เศรษฐา ผ้าขาวม้าหลากสี ในการผลักดันและส่งเสริมในเรื่องของธุรกิจการพนันทุกรูปแบบ เหมือนต้องการจะปักหมุดพลิกโฉมประเทศไทยให้กลายเป็น **‘เมืองคนบาป’**ชนิดชั่วข้ามคืน โดยไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์หรือความเห็นต่างจากอีกฝ่าย
มีบางคนบอกว่าแนวคิดนี้ความจริงไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่ฝังลึกอยู่ในใจของคนระดับนายกฯในตำนานอย่าง ‘โทนี่’ ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งบรรดาคนในระดับกลุ่มผู้นำทางความคิดของพรรคเพื่อไทย
ที่มีความเชื่อว่าหากสามารถนำเศรษฐกิจใต้ดินให้ขึ้นมาอยู่บนดินแบบถูกกฎหมาย จะช่วยในการทำให้ตัวเลข GDP หรือเศรษฐกิจของไทยเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด และแนวคิดนี้ถูกส่งผ่านต่อมาถึงนายกฯในตำแหน่งปัจจุบัน
เพราะเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจกับท่าทีของนายกฯ เศรษฐา ที่ออกมาหนุนการจัดตั้งกาสิโนถูกกฎหมาย ในรูปแบบของเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ คอมเพล็กซ์ ที่จะปูทางไปสู่การยก ‘เศรษฐกิจสีเทา’ ให้ขึ้นมาบนดินให้หมด โดยอ้างว่าเพื่อให้ฝ่ายมั่นคง ปกครอง กำกับควบคุม จัดเก็บภาษีได้มากขึ้น ดีกว่าจะปล่อยให้เป็นสังคม **‘อีแอบ’**อย่างที่เป็นอยู่ โดยมองข้ามผลกระทบในเชิงสังคมที่จะตามมาไปโดยสิ้นเชิง
ไม่เพียงเรื่องบ่อนถูกกฎหมาย หนำซ้ำท่าทีล่าสุดของรัฐบาลยังเพิ่งเห็นชอบให้มีการออกผลิตภัณฑ์ ‘หวยบนดิน N3’ ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ซึ่งอ้างว่าจะมาแข่งขันกับหวยใต้ดิน 3 ตัว และ 2 ตัว และยังมีแนวคิดในการออก ‘หวยเกษียณ’ ที่เพิ่งสร้างความฮือฮาไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
หลายคนบอกว่าชื่อของ นายกฯ เศรษฐา กำลังจะถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ในฐานะผู้นำที่ ‘จุดไฟ’ ความโลภในใจของคนไทยให้ลุกโชนขึ้น และพลิกโฉมประเทศไทยให้กลายเป็น ‘เมืองคนบาป’ ที่อาจจะถูกจดจำและถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปอีกนานแสนนาน
แนวคิดนี้อาจจะฝังกลบความพยายามในการโชว์วิสัยทัศน์อันยาวไกล และสุดแทนจะทะเยอทะยานของตัวเอง ที่เคยประกาศแนวคิด ‘IGNITE Thailand’ จุดประกายฝันที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่การก้าวสู่ความเป็นหนึ่งของภูมิภาคอาเซียนใน 8 ด้าน โดยตั้งเป้าจะเป็นศูนย์กลางทั้งในด้านการท่องเที่ยว สุขภาพและการแพทย์ อาหาร การบิน การขนส่ง ยานยนต์แห่งอนาคต เศรษฐกิจดิจิทัล และ ด้านการเงิน ทีดูหมือนจะเป็นเพียง ‘วาทกรรม’ สร้างภาพ ทั้ง ๆ ที่ตระหนักดีว่ายังเป็นภาพฝันที่ยังอยู่แสนไกลที่คงไม่สำเร็จได้ง่าย ๆ
ในสายตาของภาคประชาสังคมที่เฝ้าระวังในเรื่องของปัญหาการพนันในสังคมไทย มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน มองปราฎการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ว่า รัฐบาลของนายกฯเศรษฐาไม่ได้คิดจะแก้ปัญหา แต่คิดจะหากินกับปัญหา จากหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
กรณี 2 บิ๊กตำรวจ ที่ถูกโยงใยว่าพัวพันกับเว็บพนันออนไลน์ ทั้ง ๆ ที่เป็นโอกาสดีในการที่จะกวาดขยะที่ซุกอยู่ใต้พรม ‘คลีนแอนด์เคลียร์’ องค์กรตำรวจ เพราะกระแสสังคมอยากเห็นการปฏิรูปตำรวจ และเป็นโอกาสที่รัฐบาลจะใช้ในการสร้างผลงาน แต่รัฐบาลกลับไม่ทำอะไรเลย
เรื่อง ‘กาสิโน’ ถูกกฎหมาย หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ในตอนแรกคล้ายจะใช้รูปแบบของ ‘สิงคโปร์โมเดล’ จะมีมาตรการกำกับควบคุมที่เข้มแข็ง จะมีกลไกลดผลกระทบ แต่ลงท้ายกลับกลายร่างเป็น ‘กัมพูชาโมเดล’ รวบอำนาจไว้ที่ซูเปอร์บอร์ด
หวยเกษียณ ที่ดูจะเป็นนวัตกรรมที่ดี ในการส่งเสริมให้มีการออมเพื่อวัยเกษียณโดยใช้เรื่องของสลากเป็นเครื่องมือจูงใจ แต่กลับกลายเป็นนำเรื่องหวยมาเป็น ‘คีย์แมสเซจ’ คือเล่นหวยแถมมีเงินออม กลายเป็นการปลุกปั่นค่านิยมให้คนไทยเล่นพนัน ไม่ใช่การสร้างค่านิยมการออม และจะกลายเป็นการส่งเสริมการเล่นพนันในภาพรวม เพราะธุรกิจหวยใต้ดินสามารถออกหวยตัวใหม่ ที่เล่นได้ถี่ขึ้นทุกวันศุกร์
สลาก N3 ก็เป็นความ ‘ดันทุรัง’ ทั้ง ๆ ที่มีโอกาสไม่ประสบความสำเร็จ เพราะไม่มีเสน่ห์ สู้หวยใต้ดินไม่ได้ เพราะรางวัลไม่แน่นอน และอาจจะเป็นการเพิ่มปัญหาใหม่ ทั้งปัญหาการบริหารจัดการ ที่เดิมก็ยุ่งวุ่นวายอยู่แล้วในเรื่องการจัดสรรโควตา ที่สำคัญจะทำให้เพิ่มคนเล่นหน้าใหม่เข้ามาอีก
ทุกอย่างอยู่บนความเร่งรีบ อยากสร้างผลงาน แต่ทำการบ้านไม่ครบ ยังไม่ศึกษาในรายละเอียด ไม่รอบคอบ ไม่ฟังเสียงประชาชน และหาความเชื่อมั่นไม่ได้เลย