ศึกชิงหัวหน้า ปชป.จับตา ‘เฉลิมชัย’ ตัวเปลี่ยนเกม - คิง เพาเวอร์ กับสงครามครั้งใหม่ - โลกเปลี่ยน ประธานหอการค้า-สภาอุตฯ ไม่เปลี่ยน

7 ธ.ค. 2566 - 09:31

  • ศึกชิงหัวหน้า ปชป.จับตา ‘เฉลิมชัย’ ตัวเปลี่ยนเกม มาดามเดียร์ยังต้องรอลุ้น

  • คิง เพาเวอร์กับสงครามครั้งใหม่ ถูกกระหน่ำโจมตีที่มั่นหลักของรายได้ ต้องวัดความอดทน

  • โลกเปลี่ยน ประธานหอการค้า-สภาอุตฯ ไม่เปลี่ยน ยังคงเรียกร้องสูตรเดิม ตรึงค่าไฟ

DEEP-SPACE-005-economy-kingpower-tcc-SPACEBAR-Hero.jpg

ชิงหัวหน้า ปชป.จับตา ‘เฉลิมชัย' ตัวเปลี่ยนเกม?!

ศึกชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) คนที่ 9 ในวันเสาร์ที่ 9 ธันวาคมนี้ เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็จะเปิดฉากขึ้น อันเป็นนัดที่สามของการประชุมใหญ่ หลังเกิดปัญหาองค์ประชุมล่มซ้ำ ๆ ไปถึงสองครั้ง

ชั่วโมงนี้เข้าไปตรวจดูแนวรบของทั้งสองฝ่ายในประชาธิปัตย์ ระหว่างกลุ่มผู้อาวุโส กับกลุ่ม ‘เพื่อนเฉลิมชัย’ โดยมี ‘นราพัฒน์ – วทันยา’ เป็นคู่ชิง สถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลง

ล่าสุดหลัง ‘มาดามเดียร์’ วทันยา บุนนาค เปิดเกมรุกผ่านสื่อในคอนโทรล ทั้งเดินสายพบปะสาขาพรรคในพื้นที่ภาคอีสาน แถมได้แรงเชียร์ในด้านกว้างผ่านโพลสถาบันการศึกษาที่ทำสำรวจ ซึ่งผลออกมาเป็นบวก ชนิดที่ช่างบังเอิญอย่างร้ายกาจ

จึงทำให้ ‘มาดามเดียร์’ ขยับขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคโพล ที่อยู่ในฝันของคนตอบแบบสอบถาม ที่อยากเห็นหัวหน้า ปชป.คนใหม่ชื่อ ‘วทันยา บุนนาค’

แต่ในชีวิตจริง คนที่จะหนุนให้ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคฯ ได้ ต้องมาจากโหวตเตอร์ จำนวน 70:30 ใน ปชป.เท่านั้น ไม่ใช่เสียงเชียร์จากนอกพรรค หรือแม้แต่การลงไปพบปะกับสาขาพรรค ก็น่าจะยังไม่ใช่คำตอบ และค่อนไปทางต้องการให้เป็นข่าวเสียมากกว่า

เพราะหาก ‘มาดามเดียร์’ ต้องการคะแนนเสียงหนุนขึ้นเป็นหัวหน้า ปชป.ต้องไปเจาะที่กลุ่ม 70% ของโหวตเตอร์ ที่นาทีนี้กลุ่มผู้อาวุโสมีอยู่เพียง 4 เสียง หรือต่อให้ได้เพิ่มมาอีก 5 เสียง จาก สส.นครศรีธรรมราช กลุ่ม ‘ชัยชนะ เดชเดโช’ รวมเป็น 9 เสียง ก็ยังน้อยกว่าอีกฝั่งที่มี 16 สส.ในมือ 

เสียงชี้ขาดเก้าเก้าอี้หัวหน้า ปชป.จึงอยู่ที่ว่าใครคุมเสียงสส.ปชป.ที่มีอยู่ 25 เสียงไว้ได้มากกว่า!!

ด้าน ‘นราพัฒน์ แก้วทอง’ คู่ชิงจากกลุ่ม ‘เพื่อนเฉลิมชัย’ ที่คุมเสียง สส. ส่วนใหญ่เอาไว้ ได้ลงพื้นที่พบปะสาขาพรรคบ้าง พอให้เห็นว่ามีความเคลื่อนไหว แต่ไฮไลท์สำคัญน่าจะเป็นการออกมาให้ข่าวของ ‘ไพฑูรย์ แก้วทอง’ บิดาของนราพัฒน์ มากกว่า

‘ไพฑูรย์ แก้วทอง’ ที่เก็บเนื้อเก็บตัวมาตลอด แถมมีข่าวบางกระแสระบุอาจจะมี ‘ผู้อาวุโส’ บางคน ไปออกปากขอร้องให้ลูกชาย ‘ถอนตัว’ จากการแข่งขันด้วยซ้ำ 

แต่การออกมาของ ‘ไพฑูรย์’ เมื่อวันพุธที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมา ก่อนหน้าการประชุมใหญ่เพียงไม่กี่วัน นอกจากจะให้สัมภาษณ์สนับสนุนลูกชายในฐานะคนรุ่นใหม่คนหนึ่ง ในวัย 54 ปี ที่ผ่านการเป็น สส.มาแล้ว 4 สมัย แถมเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีอีก 2 สมัย 

ซึ่งเป็นการสื่อให้เห็นถึงประสบการณ์ทางการเมืองของ ‘นราพัฒน์’ ที่มีมากกว่าอีกฝ่าย ที่หากนับพรรษาการเมืองแล้วเพิ่งจะผ่านการเป็น สส.สมัยแรกเท่านั้น

ขณะที่วงใน ปชป. ยืนยันงานนี้ ‘ไพฑูรย์’ ไม่ใช่ลำพังส่งเสียงเชียร์อย่างเดียว แต่ยังทุ่มสุดตัวอีกด้วย เพื่อส่งให้ลูกขายขึ้นเป็นหัวหน้า ปชป. จะได้เป็นอีกบันทึกหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองให้กับคนในตระกูล ‘แก้วทอง’

และดู ‘ไพฑูรย์ แก้วทอง’ จะตั้งความหวังไว้ไม่น้อยกับการลงชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรคของลูกชายครั้งนี้ ถึงกับเรียกร้องให้แพ้/ชนะ เป็นเรื่องของการแข่งขัน และให้ฝ่ายที่ชนะเชิญอีกฝ่ายมาร่วมทำงานด้วย เช่นเดียวกับฝ่ายที่แพ้ ก็ต้องมาร่วมกันทำงาน 

‘คนที่แพ้ก็ต้องอยู่กับพรรค คนที่ชนะก็ต้องใจกว้าง เชิญเขามาทำงานร่วมกัน ไม่ใช่แบ่งคนละพวกเลย’

‘ต้องใจเย็นห้ามทะเลาะกัน เหมือนอย่างบางคนที่แพ้แล้วก็ไป คนที่ชนะก็ไม่ยอมชวนมาทำงาน เรื่องนี้ขอพูดเป็นแนวทางให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคได้คิดด้วย’

ไม่ว่า ‘ไพฑูรย์ แก้วทอง’ จะตั้งความหวังไว้สูงลิ่วขนาดไหน แต่กับศึกชิงเก้าอี้หัวหน้า ปชป. หนนี้ ที่สองฝ่ายต่างเดิมพันสูงด้วยกันทั้งคู่ โดยเฉพาะในซีกของ ‘เสี่ยต่อ-เฉลิมชัย’ ที่ประกาศแพ้ไม่ได้ 

ดังนั้น นาทีนี้เมื่อสถานการณ์ยังไม่เปลี่ยน จึงยังวางตัว ‘นราพัฒน์ แก้วทอง’ คนเดิมเป็นคู่ชิงกับ ‘มาดามเดียร์-วทันยา’ แต่หากนาทีสุดท้ายเกิดการพลิกผันขึ้น โดยเฉพาะเสียง 21 สส.ในมือ ถ้ามีการแตกแถวเกิดขึ้น หรือชื่อ ‘นราพัฒน์ แก้วทอง’ ไม่ขลังพอที่จะเรียกเสียงโหวตเตอร์ในกลุ่ม 70% มาลงคะแนนให้ได้

เริ่มมีเสียงพูดหนาหูว่า ถึงตอนนั้น อาจได้เห็นการเปลี่ยนม้ากลางศึก จากซีกของกลุ่ม ‘เพื่อนเฉลิมชัย’ ในนาทีสุดท้าย โดยให้ ‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน’ เปลี่ยนจากพี่เลี้ยงข้างเวทีมาขึ้นชกชิงเก้าอี้หัวหน้า ปชป.ด้ วยตัวเอง..

เห็นว่าเวลานี้กำลังซุ่มคิดคำพูดที่จะมาสื่อสาร อธิบายที่เคยประกาศเลิกเล่นการเมืองไว้อยู่ รอดูวันเสาร์นี้ ‘เฉลิมชัย’ จะมาเป็นตัวเปลี่ยนเกมการเลือกตั้งหัวหน้าปชป.หนนี้หรือไม่?

คิง เพาเวอร์กับศึกครั้งใหม่

ไม่น่าเชื่อว่ากว่า 34 ปี นับตั้งแต่ปี 1989 บนเส้นทางความสำเร็จของ ธุรกิจร้านค้าปลอดภาษี Duty Free อย่าง ‘คิง เพาเวอร์’ ต้องเผชิญกับปัญหาที่ท้าทาย และหนักหนาสาหัสมานับครั้งไม่ถ้วน

เหตุการณ์ที่หนักหน่วงที่สุด น่าจะเป็นช่วงที่เกิดเหตุการณ์สูญเสีย เจ้าสัววิชัย ศรีวัฒนประภา (รักศรีอักษร) แบบกะทันหัน เมื่อปี พ.ศ. 2561 ซึ่งหลายคนคาดการณ์ว่า อาณาจักรคิง เพาเวอร์ คงต้องเผชิญกับปัญหาหนัก เนื่องจาก เจ้าสัววิชัย คือทุกอย่างของ คิง เพาเวอร์ ณ เวลานั้น

แต่กว่า 5 ปีที่ผ่านมา ‘ต๊อบ’ อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ก็พิสูจน์เห็นว่าเขาสามารถผ่านด่านทดสอบที่สำคัญมาได้หลาย ๆ เรื่อง จากคาถาชีวิตที่เจ้าสัววิชัยถ่ายทอดไว้ให้ลูกหลาน คือความเชื่อที่ว่า  

‘ไม่มีปาฏิหาริย์ใดเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้ามีความตั้งใจจริง’

ไม่เพียงประคับประคองธุรกิจเอาไว้ได้ในช่วงเปลี่ยนผ่านผู้นำ ต๊อบ อัยยวัฒน์ ยังสามารถฟันฝ่านำธุรกิจให้รอดพ้นจากวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ เมื่อเกิดวิกฤติ โควิด-19 ระบาดช่วงปี 2019-2023 ที่ส่งผลกระทบต่อการเดินทางท่องเที่ยวทั้งโลก จากการที่มีการ ‘ล็อคดาวน์’ ปิดสนามบิน ที่ทำเอาร้านค้าปลอดภาษีแทบ ‘ร้าง’ 

คิง เพาเวอร์ ตัดสินใจปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ จากการที่จะให้นักท่องเที่ยวมาซื้อสินค้าที่สนามบิน ไปสู่การเอาสินค้าไปขายให้นักท่องเที่ยวโดยการบุกถึงตัวลูกค้าผ่านการตลาด ‘ออนไลน์’ โดยอาศัยฐานลูกค้าจำนวนมหาศาล ทำการตลาดเจาะถึงตัวสามารถสร้างตลาดใหม่ของ คิงเพาเวอร์ พร้อมกับการเปิดตัว ‘คิง เพาเวอร์ มหานคร’ ที่อาคารมหานคร สีลม ที่ไป เทกโอเวอร์มา

ถ้ามองในแง่บททดสอบทางธุรกิจ ต้องยอมรับว่า ต๊อบ อัยยวัฒน์ สอบผ่านชนิด ติด A+ แต่มาถึงวันนี้เขากำลังจะต้องเผชิญกับบททดสอบ ที่เป็นโจทย์ยากอีกครั้ง เมื่อต้องเผชิญกับ โจทย์ทางการเมืองเลือกข้างแบบไทย ๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจ หลังการผลัดเปลี่ยนรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน และพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ  

คงไม่มีใครปฎิเสธว่า ความสำเร็จส่วนหนึ่งของ คิง เพาเวอร์ ตลอดเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา อาศัยความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับพรรคพรรคสีน้ำเงิน ภูมิใจไทย ที่มีครูใหญ่ เนวิน ชิดชอบ และ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่เข้ามาดูแลกระทรวงคมนาคม ทำให้สัมปทาน ดิวตี้ฟรี ของคิง เพาเวอร์ มักจะได้รับการปกป้อง และดูแลเป็นพิเศษเสมอ

แต่มาวันนี้ เริ่มเห็นสัญญาณของ ‘ภัยคุกคาม’ ที่แผ่มาปกคลุมอาณาจักรแห่งนี้ในหลาย ๆ ทาง จากพรรคสีแดง ที่กลับเข้ามากุมอำนาจในกระทรวงหูกวางแห่งนี้ และส่งมือเก๋า อย่าง สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ มานั้นเป็นเจ้ากระทรวง

ว่ากันว่าการกลับมาคราวนี้ สุริยะ เดินเกมแรง แบบไม่รอใครเริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนบอร์ดของ การท่าอากาศยาน ชนิดยกชุด และมีประธานบอร์ดคนใหม่ คือ ‘บิ๊กหิน’ พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ ที่เพียงเห็นนามสกุลก็พอจะทราบว่า มาจากสายไหน และก็เป็นที่ทราบดีว่า บิ๊กหินนั้น ก็มีความใกล้ชิดกับ นายกฯ เศรษฐา ในฐานะเพื่อนร่วมก๊วนที่สปอร์ตคลับอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นเริ่มเห็นเค้าลางว่า กลุ่มค้าปลีกรายใหญ่โดยเฉพาะบรรดาธุรกิจห้างสรรพสินค้า กำลังจะรุกเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดการขายสินค้า ‘แบรนด์เนม’ ต่างประเทศ จาก คิงเพาเวอร์ ผ่านแนวคิดการทำให้ไทยเป็น ศูนย์กลางการช้อปปิ้งของโลก โดยอาศัยความสัมพันธ์ที่แสนจะใกล้ชิดของระดับบิ๊กๆในวงการค้าปลีกกับนายกฯเศรษฐา

สังเกตได้จากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาที่มอบหมายให้กระทรวงการคลัง ไปดำเนินการศึกษารายละเอียด มาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย ซึ่งหลาย ๆ มาตรการส่งผลกระทบโดยตรงต่ออนาคตของ คิง เพาเวอร์ โดยตรง เช่น การยกเลิกร้านดิวตี้ฟรี ‘ขาเข้า’ เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือคนไทยที่เดินทางกลับเข้ามาในประเทศเกิดการจับจ่ายซื้อของในประเทศแทนที่จะซื้อสินค้าจากในร้านดิวตี้ฟรีขาเข้า

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแนวคิดที่จะมี การลดภาษีนำเข้า และภาษีสรรพสามิต สุราต่างประเทศ และ ไวน์ รวมถึง สินค้าแบรนด์เนมหรูจากต่างประเทศ เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางการช้อปปิ้งของโลก แทนที่จะสามารถซื้อได้จาก ดิวตี้ฟรี ของ คิงเพาเวอร์ เพียงที่เดียว โดยคาดว่าจะเริ่ม ‘ชิมลาง’ จากหมวดเครื่องดื่มก่อนเป็นอันดับแรก 

ลองคิดดูว่า หากมาตรการดังกล่าวผลักดันสำเร็จ คงไม่ต้องสงสัยว่าจะกระทบต่อธุรกิจ และรายได้ ของคิงเพาเวอร์ มากขนาดไหน

ศึกครั้งนี้ จึงดูจะหนักหนาสาหัสไม่น้อยเพราะแค่ยกแรก เรื่องดิวตี้ฟรีขาเข้า ต๊อบ อัยยวัฒน์ ยังต้องยอมกลืนเลือดปล่อยผ่าน หวังใช้เป็นข้อต่อรองเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า แต่จากนี้ไปหากไม่มี ‘อัศวิน’ มาช่วย อาณาจักร ‘คิง เพาเวอร์’ คงต้องสั่นสะเทือนแน่ๆ...

โลกเปลี่ยน ประธานหอการค้า – สภาอุตฯ ไม่เปลี่ยน

‘พีค’ หรือ System Peak คือ ค่าความต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงสุดของระบบไฟฟ้า ในรอบปี

ปีนี้ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเกิดขึ้นเวลา 3 ทุ่มกว่า  คืนวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ 34,826.50 เมกะวัตต์

เป็นครั้งแรกที่พีค เกิดตอนกลางคืน จากเดิมที่เคยเกิดขึ้นตอนบ่าย ๆ

พีคย้ายจากกลางวันไปกลางคืน เป็นผลมาจาก การใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ในเวลากลางวันของโรงงาน ศูนย์การค้า โมเดิร์นเทรด โรงแรม ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าจากระบบลดลง ไปเพิ่มขึ้นตอนกลางคืนเมื่อไม่มีแดดแล้ว 

เป็นการปรับตัวของผู้ใช้ไฟ หันไปใช้ไฟจากพลังงานหมุนเวียน ซี่งไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง 

เทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ที่ดีขึ้นในช่วง10 ปีที่ผ่านมา โดยจีนเป็นผู้นำ ทำให้ต้นทุนการติดตั้งโซลาร์รูฟท้อปถูกลงมาก จากราคา 100 บาท/วัตต์ ในปีพ.ศ. 2558  ลดลงมาเหลือ 40-50 บาทเท่านั้นในปี พ.ศ. 2565 

ธุรกิจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปสำหรับบ้านและธุรกิจที่เกิดขึ้นมากมาย ในช่วง 2-3 ปีนี้  ธนาคารหลายแห่งให้สินเชื่อโซลาร์รูฟท็อป  สะท้อนว่าพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นทางเลือกที่เป็นจริง และคุ้มค่า แม้จะยังไม่ทดแทนการใช้ไฟฟ้าได้ทั้งหมด แต่ก็ช่วยลดต้นทุนค่าไฟได้อย่างมีนัยสำคัญ

การปฏิวัติโซลาร์เซลล์ เกิดขึ้นแล้ว โลกเปลี่ยนไปแล้ว แต่ผู้นำภาคเอกชนอย่างประธานหอการค้าไทย สนั่น อังอุบลกุล และประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เกรียงไกร เธียรนุกุล ยังยึดติดอยู่กับวิธีการเดิม ๆ ขอให้รัฐบาลตรึงค่าไฟฟ้าไว้ที่ราคาเดิม 3.99 บาทต่อหน่วย และขู่ว่า หากไม่ช่วย จะต้องขึ้นราคาสินค้าอีก 17% เพราะต้นทุนค่าไฟแพงขึ้น

การลดค่าไฟของรัฐบาล ให้อยู่ที่ 3.99 บาท ต่อหน่วย เป็นการแก้ปัญหาแบบนักการเมือง แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ชั่วคราวแค่ 4 เดือน โดยยืดหนี้ค่าเอฟที ตั้งแต่ปี 64 -65  ที่รัฐบาลในตอนนั้น สั่งให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แบกรับแทนประชาชนไว้ก่อน 

แต่หนี้ก้อนนี้ ที่มีมูลค่าถึง 130,000 ล้านบาท ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ถูกเลื่อนชำระออกไป   ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น จะถูกรวมไว้ในค่าเอฟทีด้วย เมื่อถึงวันที่ กฟผ. แบกหนี้ต่อไปไม่ไหว ผู้ใช้ไฟทั่วประเทศก็ต้องใช้คืน  

แทนที่จะแบมือขอให้รัฐช่วยอย่างที่ผ่าน ๆ มา ประธานหอการค้าไทย และประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จะต้องช่วยตัวเองให้มากขึ้น ด้วยการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิก ลดต้นทุนพลังงาน โดยใช้พลังงานทางเลือกแทน ซึ่งนอกจากจะลดต้นทุนได้อย่างยั่งยืนแล้ว   สำหรับผู้ส่งออก ยังเป็นการเตรียมพร้อมรับมือกับ กติกาใหม่ของโลกการค้า ที่ให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานสะอาด เช่น มาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของอียู ที่จะเริ่มบังคับใช้กับสินค้านำเข้าตั้งแต่วันที่  1 มกราคม พ.ศ.2569

โลกเปลี่ยนแล้ว และเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ภาคธุรกิจต้องเปลี่ยนตาม อย่าเอาแต่แบมือขอให้รัฐช่วยอย่างเดียว

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์