Deep SPACE หมูเถื่อนสะเทือนซีพี - เศรษฐารักภูเก็ต - ลุงตู่ ไปแล้วแต่ยังไม่ไปลับ!!

1 ธ.ค. 2566 - 12:41

  • หมูเถื่อนสะเทือนซีพี ระเบิดพลีชีพของ ‘สุริยา‘

  • เศรษฐารักภูเก็ต ไปแล้ว ไปอีก ไปต่อ

  • ลุงตู่ ไปแล้วแต่ยังไม่ไปลับ!!

DEEP-SPACE-economy-makro-wild-pig-dsi-stock-exchange-thailand-set-SPACEBAR-Hero.jpg

เรื่อง ‘หมูเถื่อน’ ไปๆ มาๆ บานปลาย จากความตั้งใจผลักดันให้รัฐบาลเร่งกวาดล้างขบวนการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนให้สิ้นซาก แต่กลับกลายเป็นปัญหาที่กลับสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของกลุ่มซีพีอย่างไม่คาดคิด

สำหรับคนใกล้ชิด เป็นที่รับรู้กันเป็นอย่างดีว่าตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ต้องหวานอมขมกลืน กับปัญหา ‘หมูเถื่อน’ ที่เข้ามาถล่มตลาดหมูในประเทศ จนสร้างปัญหาให้กับวงการเลี้ยงหมูอย่างหนัก 

ปัญหาโรคระบาดอหิวาต์แอฟริกาในสุกร( ASF- African Swine Fever )ทำให้หมูล้มตายเป็นจำนวนมาก และยังถูกซ้ำเติมจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ ทั้งข้าวโพด และกากถั่วเหลือง ที่พุ่งสูงขึ้นจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ต้นทุนการเลี้ยง และราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มถี บตัวสูงขึ้น ทำให้ราคาเนื้อหมูหน้าเขียงในประเทศพุ่งสูงขึ้นอยู่ในระดับ กก.ละ 100-120 บาท ซึ่งเมื่อเทียบกับ การลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนมาขายจะมีต้นทุนเพียงราว กก.ละ 50-60 บาท

ส่วนต่างราคาที่สูงมาก เย้ายวนใจให้เกิดขบวนการลักลอบนำหมูเถื่อนเข้ามาขายกันอย่าง ‘โจ๋งครึ่ม‘ และทำลายอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมู ที่เปรียบเสมือนเสาหลักต้นหนึ่งของเครือซีพีอย่างชนิดให้อภัยไม่ได้

ขบวนการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนที่ทำกันเป็นล่ำเป็นสันอยู่ในเวลานี้ ไม่เพียงเป็นการบูรณาการโกงของ 3 หน่วยงาน คือ กรมศุลกากร กรมประมง และกรมปศุสัตว์ ที่รับผลประโยชน์และสินบนจากนายทุนขาใหญ่ระดับประเทศบางราย แต่เครือข่ายของขบวนการนี้มี ‘แบ๊คอัพ’ ใหญ่เป็นถึงนักการเมืองระดับชาติ ชื่อย่อ ป.และ ฉ. ที่มีดีกรีเคยเป็นถึงรัฐมนตรีในรัฐบาลก่อนๆ จึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแตะต้องได้ในช่วงที่ผ่านมา 

ความอึดอัดในเรื่องนี้ ถึงขนาดทำให้เจ้าสัวต้องตัดสินใจครั้งสำคัญในการส่งคนใกล้ชิด  เข้าไปนั่งคลุกวงในของรัฐบาลเศรษฐา โดยหมายมั่นปั้นมือจะให้ไปช่วยผลักดันการทลายขบวนการนี้ให้สิ้นซาก 

ตัวนายกฯ เศรษฐาเองก็ดูจะเกรงใจ และให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะตระหนักดีว่าจำเป็นต้องพึ่งแรงสนับสนุนจากเจ้าสัวในหลายๆเรื่องในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ จึงสั่งการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ จัดการอย่างเร่งด่วน

แต่ก็อย่างที่รู้กัน แบ๊คอัพ ของขบวนการนี้ก็เบอร์ใหญ่ไม่ธรรมดา ทำให้กระบวนการสืบสวน เชิงลึกเพื่อทลายขบวนการนี้ ที่เริ่มจากสารตั้งต้น ตู้สินค้า 161 ตู้ ซึ่งตกค้างที่ถูกทิ้งไว้หน้าท่าเรือแหลมฉบังถึงแม้จะ สามารถขยายผลไปถึงกลุ่มนายทุน แต่ก็ยังไปไม่ถึงหัวหน้าของขบวนการตัวจริงเสียที 

เพราะเหตุนี้เราจึงเห็น อาการพุ่งปรี๊ดของเศรษฐา เรียก พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีดีเอสไอ มาด่าที่ห้องรับรอง สนามบินสุวรรณภูมิ ก่อนบินไปประชุมเอเปค และสั่งการให้ดีเอสไอ จับกุมตัวการใหญ่ให้ได้ภายใน 1 สัปดาห์  เพราะไม่พอใจที่ทำคดีล่าช้ามาก ทั้งๆที่สั่งการเป็นพิเศษให้จัดการมานานแล้ว

หลังจากนั้น ดีเอสไอ ดูจะเริ่มเร่งความเร็วในการสืบสวนขยายผลมากขึ้น นอกเหนือจากการ ออกหมายจับบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการชิปปิ้ง บริษัทนำเข้า 2 ราย ยังสาวไปถึงนายทุนนำเข้ารายใหญ่ ที่มีชื่อไปพัวพันกับกลุ่มตงฮั้ว ของสมนึก กยาวัฒนกิจ

แต่ที่เซอร์ไพรส์สุดๆคงเป็นการบุกไปตรวจสอบเอกสารการซื้อ ‘หมู’ ของห้างสยามแม็คโคร ในเครือซีพี ที่ พ.ต.ต.สุริยา ไปตรวจสอบด้วยตัวเองโดยระบุว่ามีการสั่งซื้อหมูจากบริษัทนำเข้าหมูเถื่อนไปขายในห้างคิดเป็นมูลค่ากว่า 380 ล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา

วันรุ่งขึ้น ในการประชุมคณะรัฐมนตรี มีคำสั่ง โยกย้าย พ.ต.ต.สุริยา ไปนั่ง ‘ตบยุง’ในตำแหน่งรองปลัดกระทรวงยุติธรรม และแต่งตั้งให้ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีดีเอสไอขึ้นมารักษาการแทน ซึ่งสร้างความฉงน ปนสนเท่ห์ มึนๆงง ให้กับผู้คนในสังคม จนกลายเป็น ‘ทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์ มีวิเคราะห์สาเหตุกันไปต่างๆ นานา

เอาเข้าจริง ๆ แล้ว สาเหตุการโยกย้าย พ.ต.ต.สุริยา นั้นถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่แรกที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ยุติธรรม มารับตำแหน่ง เพราะต้องการจะดัน พ.ต.ต.ยุทธนา ขึ้นมานั่งในตำแหน่งนี้แทน และ รู้ว่าจะมีการทำเรื่องเสนอเป็นวาระเข้าครม.ในวันอังคารที่ผ่านมา

พ.ต.ต.สุริยา รู้ถึงสถานภาพตัวเอง  และยอมรับว่าทำใจไว้แต่แรกว่าจะมีวันนี้ ตั้งแต่มารับตำแหน่งเมื่อเดือนมกราคม จึงมีความเป็นไปได้ว่า ปฎิบัติการครั้งล่าสุดของ พตต.สุริยา ก็คือ ปฎิบัติการ ‘กดระเบิดพลีชีพ’  เพื่อสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งสุดท้ายเสียมากกว่า หรือ สรุปง่ายๆ คือ “คำสั่งโยกย้าย เป็นเหตุให้ กดระเบิดพลีชีพ”

ถึงวันนี้ พ.ต.ต.สุริยา ก็พ้นจากตำแหน่ง อธิบดีดีเอสไอ ไปแล้ว แต่ก็สร้างแรงสั่นสะเทือนระดับ 10 ริคเตอร์ให้ทั้งรัฐบาลนายกฯเศรษฐา และ กลุ่มซีพี ที่ต้องปวดหัวในการแก้ข่าวกันทุกวัน

เพราะอย่างนี้จึงไม่น่าประหลาดใจ ที่เจ้าสัว จะถึงกับออกอาการ ‘หงุดหงิด’ กับคนใกล้ชิด และดูท่า ‘หวย’ งวดนี้อาจจะไปออกที่ระดับผู้บริหารของซีพี แอ๊กซ์ตร้า เจ้าของสยามแมคโคร ในไม่ช้านี้...

เศรษฐารักภูเก็ต ไปแล้ว ไปอีก ไปต่อ

นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ไปภูเก็ต  เป็นครั้งที่ 3 แล้ว ในช่วงเวลาเพียง 3เดือนตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรี น่าดีใจแทนชาวภูเก็ตที่ผู้นำประเทศให้ความสำคัญไปเยี่ยมทุกเดือน แม้ว่า จะไม่ได้เลือกคนของพรรคเพื่อไทยเป็น ส.ส. ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา และไม่เคยเลือกเลยในอดีต

ภูเก็ต ไม่ใช่ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยแน่นอน  แต่ภูเก็ตเป็นเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก ที่ทุกคนรู้จัก  อยากมาเที่ยว อยากมาอยู่ อยากมาลงทุน

1.jpeg

บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซึ่งลงทุนในภูเก็ตมา 15 ปีแล้ว ประกาศว่า ภูเก็ต เป็น Strategic Location คือ เป็นตลาดที่เป็นยุทธศาสตร์ การเติบโตของบริษัท  ซึ่งมีแผนลงทุนมูลค่าถึง 50,000  ล้านบาท ในช่วง 15 ปีต่อจากนี้ เช่นเดียวกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำหลายๆแห่งที่แห่ไปลงทุนที่สู่ภูเก็ต เพราะมั่นใจในศักยภาพของภูเก็ต

ลูกค้าเป้าหมายของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้ ไม่ใช่คนภูเก็ต หรือคนไทยจากที่อื่นแน่ เพราะราคาสูงเกินเอื้อม แต่เป็นชาวต่างชาติทั้งที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัย ซื้อเพื่อการลงทุน  โดยเฉพาะคนจีน  ซึ่งปัจจุบันก็เป็นลูกค้าหลักของตลาดบ้านหรูราคาร้อยล้านในกรุงเทพของบริษัทเหล่านี้อยู่แล้ว และคนรัสเซียซึ่งปัจจุบัน เข้าไปอยุ่และกว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ต จนทำให้ราคาสูงขึ้นกว่าปกติ  

ไม่รู้ว่า ที่เศรษฐาไปภูเก็ตถี่ เพราะเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า คือไปขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทำถนน ขยายสนามบิน จัดการเรื่องความปลอดภัย อำนวยความสะดวกในกิจการท่องเทียว เพื่อทำให้ภูเก็ตเป็นเมือง น่าอยู่  น่าลงทุนของต่างชาติ

ทำได้จริง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างแสนสิริ รับทรัพย์อื้อซ่าแน่

ลุงตู่..ไปแล้วแต่ยังไม่ไปลับ!!

หลังราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คนที่ 29 ดำรงตำแหน่งองคมนตรี มีคำถามตามมาว่า สถานะการเป็น ‘แคนดิเดทนายกรัฐมนตรี’ ในบัญชีพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ยื่นต่อ กกต.ไว้จะยังอยู่หรือไม่  

เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 12 เขียนเอาไว้ว่า ‘องคมนตรีต้องไม่เป็นสส./สว.หรือดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใดๆ’

ในขณะที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 88 ประกอบมาตรา 87 ห้ามมิให้ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อ ‘ถอนตัว’ หลังมีการสมัครรับเลือกตั้งแล้ว 

นั่นเท่ากับว่า หากมีเหตุต้องเลือกนายกรัฐมนตรีกันใหม่..แคนดิเดทนายกฯ ของพรรคการเมือง ยังมีสิทธิถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯตลอดอายุของสภานั้น

2.jpeg

ในช่วงที่ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ว่าที่นายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล ถูกยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปมคุณสมบัติ มือกฎหมายระดับเนติบริกร ‘วิษณุ เครืองาม’ เคยแจกแจงไว้ว่า ไม่สามารถสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีได้ เพราะยังเป็นเพียงแคนดิเดทเท่านั้น ไม่ถือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ถ้ายึดความเห็นของวิษณุข้างต้น วันนี้สถานะความเป็นแคนดิเดทฯของพล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังคงมีอยู่ แม้จะย้อนแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 12 ที่ไม่ให้องคมนตรียุ่งเกี่ยวกับการเมืองและต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใดก็ตาม..

ไปดูสถานการณ์พรรครวมไทยสร้างชาติ  ที่เรียกกันติดปากในช่วงเลือกตั้งว่า ‘พรรคลุงตู่ๆๆๆ’  ในวันที่ไม่มีพล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากสมาชิกพรรค ก็ดูเหมือนจะยังมีเยื่อใยต่อกัน ..ไม่หนักหนาเท่ากับพล.อ.ประยุทธ์ ไปเป็นองคมนตรี ต้องตัดขาดตัวเองจากการเมืองอย่างสิ้นเชิง

พรรครวมไทยสร้างชาติ ในวันที่ไร้เงา ‘ลุงตู่’ คงต้องอยู่กันไปตามอัตภาพก่อน รอวันให้ ‘ลุงตู่’ กลับมา..แต่ถ้าลุงไปลับไม่กลับมา  ถ้าวันนั้นมาถึง กลุ่มการเมืองหลากก๊กในรวมไทยสร้างชาติ ก็คงต้อง ‘จรม้า’  แยกย้ายไปตามทางถนัดของตัวเอง..

แต่สุดท้าย พินิจจากเนื้อหาในรัฐธรรมนูญแล้ว พรุ่งนี้ ลุงตู่..น่าจะยังมีโอกาสกลับคืนสูเวทีการเมืองได้อีกคำรบ

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์