มาถึงนาทีนี้ ‘บอส’ ณวัฒน์ อิสรไกรศีล ที่ยังคงไม่ละทิ้งบทบาทของการเป็นทั้งเจ้าของและเจ้ามือ หุ้นมิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MGI คงต้องตื่นจากฝัน และหันกลับมาตั้งสติสรุปบทเรียน และทบทวนบทบาทของตัวเองเสียที ก่อนจะทำให้ความฝันของตัวเองต้องพังทลายลง เหมือนใครบางคนที่ตัวเองเกลียดเป็นหนักเป็นหนา
ณวัฒน์ ต้องยอมรับความจริงว่า ชื่อชั้นของตัวเองยังไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะได้รับการยอมรับทั้งในบทบาทผู้บริหาร หรือนักลงทุนในตลาดหุ้นที่โดดเด่นมากพอที่จะเป็นคนกำหนดทิศทางราคาหุ้นที่ตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องได้อย่างที่วาดหวัง แต่ซ้ำร้ายภาพลักษณ์ของตัวณวัฒน์อาจถูกมองในเชิงลบจากนักลงทุน ซึ่งอาจส่งผลตรงข้ามเหมือนที่กำลังเกิดขึ้นล่าสุด
การขยันสร้าง ‘คอนเทนต์’ หรือ ‘Story’ ชนิดวันเว้นวัน ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นเสมอไป ยิ่งในบรรยากาศตลาดหุ้นบ้านเราในตอนนี้ที่เต็มไปด้วย ‘ความหวาดระแวง’ ของนักลงทุน และอ่อนไหวต่อข่าวที่อาจจะถูกตีความไปในทางลบได้อย่างง่ายดาย
เห็นได้ชัดกับกรณีล่าสุดที่ MGI x SABUY เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา เมื่อ ‘ชูเกียรติ รุจนพรพจี’ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SABUY ที่ขายหุ้นให้แก่ MGI และมีการแต่งตั้ง ณวัฒน์ เข้าไปเป็นกรรมการและนั่งในตำแหน่งรองประธานกรรมการบริหารแทนตัวเอง
ทั้ง ณวัฒน์ และชูเกียรติ อาจจะคาดหวังว่า เมื่อนักสร้าง ‘Story’ มือต้น ๆ ในตลาดหุ้นสองคนมา X กัน จะช่วยดันราคาหุ้นของทั้งสองบริษัทพุ่งทะยานได้อีกครั้ง เพราะเป็นเรื่องที่ Win-Win ทั้งสองฝ่าย จากการสร้าง synergy ‘ดันธุรกิจหลักเพิ่มรายได้’ แต่ทุกอย่างกลับเป็นตรงข้ามโดยสิ้นเชิง
วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ MGI มิสแกรนด์ฯ ช่วงเปิดตลาด ดิ่งลงไปลึกถึงระดับ หุ้นละ 18.20 บาท แต่มีแรงดันราคากลับขึ้นมา ปิดในช่วงเช้าได้ที่ราคา 21.70 บาท ลดลง 13.20% ในขณะที่ราคาหุ้นของ SABUY ร่วงลงติดฟลอร์สองวันซ้อน โดยล่าสุดดิ่งลึกลงไปอีก 29.63% ไปอยู่ที่ 2.28 บาท ลดลง 0.96 บาท โดยยังไม่รู้ว่าราคาจะไหลลงไปจนถึงจุดไหน
ในกรณีของหุ้น SABUY การเทขายหุ้นให้กับ ณวัฒน์ จำนวน 30 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 4.50 บาท ถึงแม้จำนวนไม่มากนัก คือราว 135 ล้านบาท แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้ ชูเกียรติก็มีการเทขายหุ้นแบบ Big Lot ออกมาอย่างต่อเนื่องในเวลาใกล้ๆกัน คือ มีการขายในวันที่ 1 เมษายน จำนวน 3 รายการ รวม 35 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 4.50 บาท มูลค่าราว 198 ล้านบาท และขายต่ออีกในวันที่ 2 เมษายน จำนวน 7 รายการ จำนวนรวม 56.20 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 4.50 บาท รวมกว่า 252.90 ล้านบาท
ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า เขากำลังจะโบกมือลา SABUY หรือไม่
ต้องยอมรับว่าบทบาทของชูเกียรติที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนต้องตั้งข้อสังเกต เพราะเป็นอีกคนที่อยู่ใน ‘สายชอบสร้าง Story เพื่อเพิ่มทุน ดันราคาหุ้น’ โดยสร้างข่าวขยายการลงทุน ซื้อกิจการจนกระจัดกระจาย มีการแจกวอแรนต์ และเมื่อหุ้นราคาตกถูกเทขาย ก็มีการตั้งกลุ่มซื้อหุ้นคืนเลียนแบบหุ้น GameStop ที่สหรัฐฯ โดยอ้างว่าเพื่อสู้กับแรงขายที่ถูก ‘ชอร์ตเซล’ โดยโปรแกรม เทรดดิ้ง แต่ก็ไม่ค่อยได้ผลมากนัก ราคายังคงไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อสุดท้ายกลับมาจบแบบหักมุม ด้วยการเทขายหุ้นตัวเองแบบรัว ๆ แถมยังปิดฉากลบเพจทางโซเซียล ไขก๊อกลาออกจากประธานเจ้าหน้าที่บริหารไปเสียเฉยๆ ถึงแม้จะมี ณวัฒน์เข้ามารับตำแหน่งรองประธานฯ แต่ก็ไม่ได้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน
โดยก่อนเปิดตลาดวันวันพฤหัสบดี มีคำสั่งขายที่ ATO (At the Open ) ก่อนเปิดตลาดในช่วงเช้าวันนี้ถึง 104 ล้านหุ้น ที่คาดว่าอาจถูก ‘ฟอร์ซเซล’ หลังจากเมื่อวานราคาร่วงลงมาติดฟลอร์ จนส่งผลกดดันต่อหุ้น MGI ลงมาใกล้ราคาฟลอร์ด้วยเช่นกัน
สำหรับราคาหุ้น MGI ของ ณวัฒน์เอง ก็มีอาการไม่ต่างกันจาก เพราะความขยันสร้างข่าวทำให้นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่า ณวัฒน์ กำลังเดินหลงทางหรือไม่ ยิ่งหุ้นขึ้นแท่นขวัญใจมหาชน อาศัยกระแสจากบรรดา ‘ด้อม’ นางงามมาเป็นตัวฉุดราคาหุ้น ยิ่งถูกจับตามองเป็นพิเศษ เพราะจู่ๆก็ควักเงินถึง 135 ล้านบาท ไปซื้อหุ้น SABUY จนโดนข้อครหา ‘ใช้เงินไอพีโอผิดวัตถุประสงค์’
ถึงแม้จะอ้างว่าเป็นการเข้าไปร่วมลงทุนเพื่อขายผลิตภัณฑ์ทั้งหลายของมิสแกรนด์ อย่างเช่น ‘น้ำพริกปลาสลิด’ ผ่านตู้เวนดิ้งแมชชีนของ SABUY เพิ่มช่องทางจากการขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ แต่ก็มีคำถามว่าการจับมือเป็นพันธมิตรร่วมกันแทนที่จะต้องลงทุนเข้าไปซื้อหุ้นจะเป็นประโยชน์มากกว่าหรือไม่ ซึ่งณวัฒน์คงต้องตอบคำถามนี้ให้ได้ในการแถลงข่าว
สรุปว่างานนี้ อุตส่าห์วาดหวังว่า Story ใหม่น่าจะทำให้ราคาหุ้นของทั้งคู่น่าจะวิ่งรับ รวยกันสะดือปลิ้น แต่กลับเจอสถานการณ์ ‘เข็มขัดสั้น’ ชนิดคาดไม่ถึง จับมือกันร่วงแบบหมดสภาพทั้งคู่...