มติเอกฉันท์ของ กกต.ที่ให้ยุบพรรคก้าวไกล ในช่วงบ่ายอ่อน ๆ วันอังคารที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายอยู่แล้ว เพียงแต่ต่อจากนี้คนในก้าวไกลจะคิดอ่านสู้คดีกันอย่างไรต่างหาก ที่คนการเมืองต้องเฝ้าติดตาม
พรรคก้าวไกล เคยมีบทเรียนจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ ในปี2563 จะนำประสบการณ์ในครั้งนั้น มาพิจารณา ‘มรณานุสติ’ กับการเมืองหนนี้อย่างไร จะสู้แบบยอมตายยกรังเหมือนเมื่อสามปีก่อน หรือจะนำบทเรียนนั้นมาปรับใช้
‘สมชัย ศรีสุทธิยากร’ ให้มุมมองต่อสถานการณ์ยุบพรรคก้าวไกล ในฐานะ กกต.เก่า โดยแบ่งการคาดการณ์ออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
1.ระยะเวลาที่ กกต.พิจารณา ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป คือ ใช้เวลาราว 1 เดือน 10 วันหลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อ 31 มกราคม 2567
2.ขั้นต่อไป ในขั้นศาลรัฐธรรมนูญ ไม่น่าจะเกิน 2 เดือนจากนี้ คือ อยู่ในราวต้นเดือนพฤษภาคม 2567 ซึ่งมีแนวโน้มว่า ยากมากที่จะเป็นข่าวดีของพรรคก้าวไกล
3.การยุบพรรค จะมีผลต่อการตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคด้วย ซึ่งพรรคก้าวไกลต้องประเมินว่า จะรักษาหลักการที่รอผลคำวินิจฉัย หรือจะให้สส.บัญชีรายชื่อที่เป็นกรรมการบริหารลาออกเพื่อเลื่อนลำดับคนขึ้นมาแทนที่เพื่อรักษาจำนวนสส.หลังยุบพรรคให้มีจำนวนเท่าเดิม
4.การย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ของ สส.ต้องทำภายใน 60 วัน จึงเป็นเรื่องที่ต้องพยายามรักษาสส.ให้อยู่ให้มากที่สุด ท่ามกลางข้อเสนอที่เย้ายวนจากพรรคการเมืองอื่น เชิญชวน สส. ก้าวไกล ให้มาสังกัดพรรคของตนอย่างมากมายแน่นอน
ด้านโฆษกพรรคก้าวไกล ‘พริษฐ์ วัชรสินธุ’ ตอบคำถามเรื่องยุบพรรคแบบแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่อยากให้ด่วนสรุปว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ทีมกฎหมายจะทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อพิสูจน์ความถูกต้องไม่ให้เกิดการยุบพรรค และการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์
‘ประเด็นนี้ไม่ได้มีความสำคัญเพียงแค่ชะตากรรมและอนาคตของพรรคก้าวไกลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการพยายามพิสูจน์ ว่าสิ่งที่พรรคทำไปไม่ใช่สิ่งที่ผิด หากเราทำได้จะสร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องสำหรับการเมืองไทยในอนาคต’
แม้พริษฐ์ จะตอบแบบใช้หลังพิงหลักการ ทำใจดีสู้เสืออยู่บ้าง แต่ก็ยอมรับว่าได้วางแผนรับมือเอาไว้ทุกฉากทัศน์ เพียงแต่ไม่อยากด่วนพูดถึงสิ่งที่อาจจะยังไม่เกิดขึ้น
‘ตอนนี้ทำเต็มที่ในการพิสูจน์ความจริงเท่าที่จะทำได้ จนถึงวันที่จะเกิดการวินิจฉัยคำตัดสินออกมา..แต่ถามว่าทางผู้บริหารพรรค ได้เตรียมการรับมือทุกสถานการณ์หรือไม่นั้น ก็ต้องตอบว่ามีแน่นอน’
พริษฐ์ ยังย้ำว่า ได้มีการวางแผนทุกฉากทัศน์ไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุกความคิด ทุกนโยบาย ที่เราพยายามจะผลักดัน เราก็ต้องมียานพาหนะที่ขับเคลื่อนชุดความคิดต่อไปในการเมืองไทยแน่นอน
‘ไม่อยากให้ด่วนสรุปว่าพรรคก้าวไกลจะถูกยุบ จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยศาลออกมา แต่สำคัญกว่านั้น ก็ไม่อยากให้เราตั้งค่านิยมการยุบพรรคเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะพรรคใดก็ตาม’
จากสุ้มเสียงของระดับแก่นแกนในพรรคก้าวไกลข้างต้น ทำให้เชื่อว่าเที่ยวนี้คงมีการปรับแนวทางการต่อสู้กันใหม่ ไม่ให้ประสบชะตากรรม ‘ตายยกรัง’ เหมือนในอดีต โดยเฉพาะกรรมการบริหารพรรค 10 คน ที่เป็น สส.บัญชีรายชื่ออยู่ในเวลานี้ ไล่ไปตั้งแต่ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ - ชัยธวัช ตุลาธน - เบญจา แสงจันทร์ - สมชาย ฝั่งชลจิตร - สุเทพ อู่อ้น’ คงต้องเลือกใช้วิธีผ่องถ่ายให้คนอื่นที่อยู่ในบัญชีลำดับถัดไปขึ้นมาเป็น สส.แทน
เพราะหากไม่มีการขยับ อยู่เป็นสส.ไปจนถึงนาทีสุดท้าย ทันทีที่พรรคถูกยุบ บัญชีผู้สมัคร สส.ปาร์ตี้สิลต์ก็ต้องสิ้นสุดลงตามไปด้วย ไม่ต่างกับการยุบพรรคอนาคตใหม่ ที่นอกจากจะทำให้จำนวนสส.พรรคก้าวไกลเหลือไม่เท่าเดิมแล้ว สส.ทั้งสภาก็มีไม่ครบ 500 คนด้วย
วันนี้พรรคก้าวไกล หากไม่ต้องการประสบชะตากรรมเดียวกับพรรคอนาคตใหม่ ก็ต้องเร่งถอดบทเรียนในอดีตมาปรับใช้ ส่วนสถานการณ์ผึ้งแตกรัง ที่จะมีตามมาหลังการยุบพรรค คงไม่เร่งด่วนเท่ากับไม่ให้ตายยกรัง ย่ำรอยเดิมในอดีตอีก
รักษาไพร่พลที่เหลืออยู่ไม่มากไว้ไปสมทบกับแถวสามสร้างบ้านแปงเมืองกันใหม่ ดีกว่ายึดหลักรอคำวินิจฉัยแล้ว ‘ตายประชดป่าช้า’ คงไม่เกิดประโยชน์ใดทางการเมือง ไหนจะยังมีดาบสองจาก ป.ป.ช.ที่ 44 คน ถูกร้องเอาผิดฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง ที่มีโทษหนักถึงประหารชีวิตทางการเมืองอีก
หลังโพสต์ตัดพ้อกันพองาม ทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้แล้ว ต่อจากนี้คนในพรรคก้าวไกล คงต้องมาสุมหัวถอดบทเรียนร่วมกัน จะได้ไม่ต้องพากันตายยกรังอีก