‘สุริยะ’ มาแล้ว เล็งขายที่ดินขนส่งเอกมัย
หลังจากเก็บงำประกายมากว่าสี่เดือน ในที่สุด ‘เดอะซัน’ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ก็เริ่มเปล่งแสง เดินเกมรุกครั้งใหญ่ ชนิดไม่ทิ้งลายนักการเมืองรุ่นลายคราม เป้าหมายใหม่ คือ บริษัท ขนส่ง หรือ บขส. ในสังกัดกระทรวงคมนาคม
แม้จะไม่ใช่รัฐวิสาหกิจใหญ่ มีรายได้ไม่กี่พันล้าน และในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ขาดทุนแทบทุกปี แต่มีขุมทรัพย์มหาศาล คือ สถานีขนส่งผู้โดยสาร ซึ่งล้วนตั้งอยู่บนที่ดินทำเลทองทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
สุริยะ ประกาศไอเดียสุดบรรเจิดแบบ ‘กินสองต่อเข้าฮอส’ กลางสภาฯ ในช่วงอภิปรายงบประมาณฯ ถึงแนวคิดการผุด โครงการศูนย์บริการขนส่งผู้โดยสารของ บขส.แบบรวมศูนย์ บริเวณรอบสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ที่บางซื่อ จากเดิมที่มีสถานีขนส่งในกรุงเทพฯ 3 แห่ง คือ สถานีขนส่งสายตะวันออก ที่เอกมัย สถานีขนส่งสายเหนือ-อีสาน ที่หมอชิต 2 และสถานีขนส่งสายใต้ที่ ถนนบรมราชชนนี
เดอะซัน อ้างว่าในอนาคต สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์จะเป็นศูนย์กลางของระบบรางทั่วประเทศ ทั้งรถไฟความเร็วสูง รถไฟทางไกล และยังเป็นจุดเชื่อมต่อของระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสารพัดสาย จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะนำสถานีขนส่งทั้งสายเหนือ อีสาน ตะวันนอก และสายใต้ มาอยู่ติดกัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน
แนวคิดของ รมว.สุริยะ คือ จะไปซื้อที่ดินใกล้เคียงสถานีกลางบางซื่อ ที่คาดว่าราคาไม่ต่ำกว่าตารางวาละ 5 แสนบาท มาพัฒนาให้เป็นสถานีขนส่งแบบแนวดิ่ง (อาคารสูง) เหมือนญี่ปุ่น โดยแกนกลางจะเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ ที่มีทั้งร้านอาหาร และแหล่งช้อปปิ้ง ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์เชิงนโยบายที่เขาจะทำให้เสร็จภายใน 4 ปี
รมว.พุทโธ่ บอกว่า ไม่ต้องห่วงเรื่องเม็ดเงินที่จะใช้ลงทุนก่อสร้างโครงการ เพราะมีไอเดีย ‘แปลงที่ดินเป็นทุน’ นำที่ดินทำเลทองฝังเพชร ของ บขส. ที่เอกมัยไป ‘เซ็งลี้’ โดยบอกว่า ลำพังมูลค่าที่ดินซึ่งมีเนื้อที่กว่า 7 ไร่ ก็น่าจะมีราคาไม่ต่ำกว่า 7 พันล้านบาท ที่สามารถนำไปบริหารเพื่อลงทุนพัฒนาศูนย์บริการขนส่งของ บขส.ที่บางซื่อได้ โดยไม่ต้องใช้งบประมาณรัฐอย่างแน่นอน!!!
ฟังไอเดียสุดบรรเจิดของ รมว.สุริยะแล้ว คงต้องยอมรับว่า จะกี่สิบปีก็ยังไม่หลุดฟอร์มนักการเมืองรุ่นเก๋าจริงๆ
ปชป.คืนฟอร์ม ฝ่ายค้านมืออาชีพ - ยามศึกเรารบ!!
สามวันของการอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี2567 ของสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ เรียกคืนความเป็นฝ่ายค้านมืออาชีพกลับมาได้อีกครั้ง
ทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นเล็ก ดาหน้ากันรุมถล่มการจัดงบฯ ฉบับ ‘เป็ดง่อย-เสดสา’ ของรัฐบาลได้แสบสัน ชนิดลืมความเป็นพรรคอะไหล่ ที่รอการกวักมือเข้าร่วมรัฐบาลไปชั่วขณะ
แถมได้เห็นบรรยากาศความเป็นประชาธิปัตย์ในอดีตที่เรียกกัน **‘ยามศึกเรารบ’**กลับมา ไม่มีแบ่งเขาแบ่งเรา เมื่อคนในพรรคถูกกระทำ ก็ออกมาปกป้องไว้ก่อน
สส.สองพี่น้องตระกูลเดชเดโช แห่งนครศรีธรรมราช ‘ชัยชนะ-พิทักษ์เดช’ น่าจะทำหน้าที่หัวหมู่ทะลวงฟัน ลุกขึ้นตอบโต้ทุกครั้งที่ผู้อภิปรายของพรรคถูกอีกฝั่งประท้วง ในประเด็นเปราะบางคือ คนชั้น 14 รพ.ตำรวจ
‘ผู้อภิปรายอยู่ในประเด็น ไม่ได้ไปกระทบกระทั่งทูนหัวของบ่าวอะไรเลย ดังนั้น ประธานต้องวินิจฉัย’
เป็นตัวอย่างหนึ่งของการตอบโต้
สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ สส.ตรัง เป็นรุ่นเล็กจากประชาธิปัตย์ ที่ลุกขึ้นอภิปรายแล้วเรียกเสียงประท้วงจาก สส.เพื่อไทย ได้มากที่สุดคนหนึ่ง เพราะไปขุดคำพูดเก่า ๆ
‘จังหวัดไหนที่เลือกเราก็จะจัดงบประมาณให้จังหวัดนั้นก่อน" ทอดทิ้งไม่พัฒนาภาคใต้ และเป็นมรดกตกทอดมาถึงรัฐบาลชุดนี้’
‘นายเศรษฐา อาจจะลุกขึ้นมาแก้ตัวว่าตัวท่านและผู้นำในอดีตเป็นคนละคนกัน แต่การจัดงบในลักษณะนี้ ยิ่งทำให้มั่นใจว่า ถึงแม้จะเป็นคนละคนกัน แต่พฤติกรรมทอดทิ้งคนใต้ ถูกถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาถึงนายกฯ ที่ชื่อเศรษฐา ผ่านร่างงบปี67’
สำหรับรุ่นใหญ่ประชาธิปัตย์ ที่เรียกฟอร์มเดิมกลับมาตั้งแต่วันแรก คือ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ผู้ตั้งฉายา ‘นักกู้ถุงเท้าสีชมพู’ ซึ่งเรื่องน่าจะจบเท่านั้น ถ้านายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ไม่ออกมาตอบโต้ด้วยการเปรียบเทียบว่า ผลงานกระทรวงพาณิชย์ ในรอบ 1 ปี มีมากกว่าจุรินทร์ที่ทำมาตลอด 4 ปี
‘ที่บอกว่าอยู่ 1 ปี ทำมากกว่าผม 4 ปี ไม่เป็นไร เพราะผมไม่ได้วิจารณ์กระทรวงพาณิชย์ แต่ที่นายกรัฐมนตรีพูดถึงเรื่อง FTA ยืนยันเลยว่าในยุคที่ผมเป็น รมว.กระทรวงพาณิชย์ เราทำ FTA เยอะที่สุดยุคหนึ่ง’
จุรินทร์ต้องตอบกลับว่า
‘ยืนยันว่าไม่ตั้งใจตอบโต้แต่ชี้แจงให้เข้าใจ ส่วนรัฐบาลนี้มาทำงาน 3 เดือนกว่า แต่นายกรัฐมนตรีบอกว่า 1 ปีนั้น เป็นสิ่งที่นายกรัฐมนตรีจะต้องระมัดระวังในการที่จะให้ความเห็น จริง ๆ ท่านพลาดมาหลายครั้งแล้ว เช่นเรื่องงบประมาณ ผมก็ไม่ได้หยิบเรื่องนี้มาพูด และไม่มีความตั้งใจไปวิจารณ์อะไรท่านกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงบประมาณ’
‘ท่านต้องระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ การคิดเร็ว พูดเร็ว ไม่อยากใช้คำว่าปากไว เพราะผมก็ให้เกียรติท่าน’
สรุปการอภิปรายครั้งนี้ ด้านหนึ่งคงได้เห็นบรรยากาศเก่า ๆ ของประชาธิปัตย์กลับมา ส่วนจะเป็นแค่ละครฉากหนึ่งหรือไม่ ต้องดูกันยาว ๆ
แต่ที่พลาดคือนายกฯ ผู้นำแฟชั่น ไม่ควรออกมาเล่นบทปะทะให้เปลืองตัว เพราะยังเป็น ‘นวกะ’ ทางการเมือง เมื่อเทียบกับคนของพรรคประชาธิปัตย์