การออกมาปรากฎตัว ทำกิจกรรมการเมืองอีกครั้งของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดยเริ่มจากงาน ‘พลังประชารัฐสัญจร’ ครั้งที่ 1/2567 ที่ จ.เพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา
ยังมีคิวต่อจากนี้ไปในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งวางตารางคร่าว ๆ ไว้ที่ จ.หนองคาย แล้วมีโปรแกรมต่อไปในภาคอื่น ๆ อีกทั่วประเทศตลอดทั้งปีนี้
‘ทำงานมาเป็นเวลา 3 เดือน ถือว่าเป็นระยะเวลาที่พอสมควรในการที่จะออกมาพบปะและรับฟังปัญหาความต้องการของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ โดยตรง เรามีนโยบายที่จะมาดูแลแก้ปัญหาให้กับคนไทยทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม เกษตรกร การบริหารจัดการน้ำ การบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อย่างเกษตรกรที่ได้รับการแปลงเอกสารสิทธิ ส.ป.ก.4-01 เป็นโฉนดเพื่อการเกษตร ที่จะทำให้เกษตรกรสามารถนำทุนที่ได้มาต่อยอดและพัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น สามารถเพิ่มรายได้และความมั่นคงในอาชีพ’
พล.อ.ประวิตร บอกกล่าวกับประชาชนที่มาต้อนรับ ณ หอประชุมเทศบาลเมืองวิเชียรบุรี อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ ท่ามกลางการห้อมล้อมของเหล่าแกนนำพรรคฯ ที่มากันครบ ขาดเพียงวิรัช รัตนเศรษฐ์ พร้อมย้ำถึงจุดยืนพรรคพลังประชารัฐ เรื่องก้าวข้ามความขัดแย้งอีกครั้งว่า
‘พรรคพลังประชารัฐ เราก้าวข้ามความขัดแย้ง จะยืนหยัดเคียงข้างพี่น้องประชาชนตลอดไป’
ย้อนเวลาไปก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตร ค่อนข้างเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในที่ตั้ง ณ มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ไม่ค่อยมีข่าวให้ใครเข้าพบนัก มีเพียงคนสนิทไม่กี่คนที่แวะเวียนไปหา แม้แต่งานเลี้ยงหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล ก็ไม่ไปร่วม
พล.อ.ประวิตร เลือกใช้ชีวิตแบบส่วนตัว ไม่ว่าจะเดินสายไปทอดกฐินตามวัดต่าง ๆ ก็มีเพียงคนสนิทและเพื่อนร่วมรุ่น ตท.6 ไม่กี่คน แม้แต่วันลอยกระทง ก็จัดแบบเล็ก ๆ อยู่กับพล.ต.อ.พัชรวาท น้องชายและคนสนิท ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ
การออกมาปรากฎตัวในห้วงเวลานี้ของพล.อ.ประวิตร จึงถูกมองว่า ‘ลุงป้อม’ จะรีเทิร์น กำลังมีอารมณ์ใจบันดาลแรงกลับมาอีกหน ก่อน สว.ชุดปัจจุบันจะถูกปิดสวิตซ์ลงในวันที่ 11 พฤษภาคมนี้
ทำให้บรรดานักวิเคราะห์หยิบประเด็นนี้มาพูดถึงกันหนาหู ด้วยเหตุจาก พล.อ.ประวิตร เป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีเพียงรายชื่อเดียวในบัญชีของพรรคพลังประชารัฐ ที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นอยู่กับ สว.
ดังนั้น หากจะมีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีเกิดขึ้นในระหว่างนี้ และก่อนวันที่ 11 พฤษภาคม 2567 จึงเป็นโอกาสอีกครั้งของ พล.อ.ประวิตร ซึ่งเป็นโอกาสสุดท้ายที่เหลือเวลาอีกไม่มาก
จากการตรวจสอบข่าวระดับวงใน พบมีความเคลื่อนไหวนี้อยู่จริงในกลุ่มคนที่แวดล้อมลุงป้อม โดยมีอดีตนายพลที่ใกล้ชิดเป็นคนปล่อยข่าวผ่านสื่อ แถมยังนำชื่อลุงคนเล็ก ที่พาตัวเองก้าวข้ามความขัดแย้งไปแล้ว มาห้อยโหนด้วย
แต่ของจริงในกลุ่มสว.สายลุงคนเล็ก ที่เป็นบันไดค้ำถ่อให้คนชื่อ ‘เศรษฐา’ ได้ก้าวขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี กลับเงียบเชียบ ไม่มีการขยับเขยื้อนใดๆ แถมมีคนบอกหากลุงคนเล็ก มีใจจะช่วยปั้น ‘ลุงป้อม’ เป็นนายกฯ จริง คงไม่ต้องรอถึงวันนี้
ขณะที่อีกด้าน มองการออกมาเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประวิตร ไม่มีอะไรมากไปกว่าเข้ามากุมสภาพภายในพรรคพลังประชารัฐ หลังมีบางคนกำเริบเสิบสาน แอบส้องสุมผู้คน เตรียมการฮุบพรรคพลังประชารัฐ จึงทำให้พล.อ.ประวิตร ต้องออกมาปรามด้วยวิธีนี้ เพื่อไม่ให้น้องชายที่ยังเชื่อมกับสส.ในพรรคไม่ติด จะได้ไม่ตกที่นั่งลำบาก
ก็เท่านั้นเอง!!!!!
สุดท้ายงานนี้ว่ากันว่า ลุงป้อมเอง แม้จะมีข้อมูลเชิงลึก พออ่านเกมได้ขาดอยู่บ้าง แต่เมื่อเจอลูกยุจากคนรอบข้างเข้า ก็ทำให้รู้สึกเคลิ้ม อยากกลับมาสานฝันให้ตัวเองอีกครั้งเหมือนกัน
แต่ด้วยเวลาที่เหลืออยู่อีกไม่มาก หากไม่สามารถออกแรงบีบรวบหัวรวบหางให้จบได้ก่อนวันที่ 11 พฤษภาคมนี้ ลุงป้อม ก็จะเป็นได้แค่ ‘ลุงหวัง’ ที่ ‘หวังลมๆ แล้งๆ’ เท่านั้น