แม้กระแสการยุบพรรคก้าวไกล อันเนื่องมาจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 คดีมาตรา 112 ที่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง จะเงียบหายจากหน้าสื่อไปในระหว่างนี้
แต่ไม่ได้หมายความว่าเรื่องดังกล่าวจะจบลง เพราะขณะนี้อยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ที่มีทั้งคำร้องที่ยื่นไว้เดิมและคำร้องที่ยื่นเพิ่มเข้าไปใหม่
นอกจากประเด็นยุบพรรคแล้ว ยังมีเรื่อง 44 สส.ที่เข้าชื่อกันเสนอร่างแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต่อสภา ถูกยื่นร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ขอให้ตรวจสอบความผิดเรื่องฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงด้วย
ดังนั้น ภาวะระส่ำระสายของพรรคก้าวไกล จากผลคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ คดีมาตรา 112 จึงยังอยู่และเป็นช่วงการนับถอยหลังว่า กกต.จะมีมติออกมาเมื่อใด ซึ่งหลายคนเดาทางไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ผลจะออกมาเป็นอย่างไร และเมื่อถึงตอนนั้น พรรคสีส้ม จะต้องกลับไปที่ศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้ง
เมื่อวันนั้นมาถึง หลายคนคงเดาผลล่วงหน้าได้ไม่ยากอีกเหมือนกันว่า ชะตากรรมพรรคก้าวไกลจะเป็นอย่างไร
ส่วน 44 สส.ที่ถูกร้องต่อ ป.ป.ช.นั้น ต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะอาจต้องดูเหตุผลแวดล้อมประกอบด้วย คงไม่เอาผิดยกเข่งทั้งหมด ทำนองเดียวกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่จำแนกเป็นรายคนไปว่าใครมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับมาตรา 112 ตรงไหนอย่างไรบ้าง
ประมาณว่า ลำพังการเข้าชื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112 อย่างเดียว คงไม่ได้เป็นความผิดล้มล้างการปกครอง
เอาเป็นว่า พรรคก้าวไกล ยังต้องลุ้นเรื่องการถูกยุบพรรคต่อ รวมทั้ง 44 สส.ที่ถูกร้องต่อ ป.ป.ช.ด้วย จะถูกสึนามิการเมืองกวาดเป็นพรรคแรกหรือไม่
เช่นเดียวกับพรรคภูมิใจไทย อันเนื่องมาจากกรณีศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีต รมว.คมนาคม ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ประเดิมศักราชใหม่ เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2567 แม้จะเก็บอาการทำใจดีสู้เสือ ไม่วิตกกังวล เพราะเป็นความผิดส่วนตัวของนายศักดิ์สยามก็ตาม
แต่ลึก ๆ แล้ว พรรคภูมิใจไทย ก็อยู่ในอารมณ์ที่ไม่ต่างไปจากพรรคก้าวไกลนัก เพราะตระหนักรู้เป็นอย่างดีว่า คำว่าส่วนตัวของศักดิ์สยามนั้น มีความเชื่อมโยงกับพรรคภูมิใจไทย ในฐานะที่มีตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรค และรับเงินจากหุ้น ‘นอมินี’ บริจาคเข้าพรรคต่อเนื่องติดต่อกันหลายปี เข้าข่ายความผิด พ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา 72 ที่ห้ามรับบริจาคเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จึงทำให้คนในพรรคภูมิใจไทย อยู่ในภาวะที่ต้องเจริญภาวนาบทมรณานุสติตามไปด้วย และมีสิทธิสูงที่จะถูกสึนามิการเมืองกวาดไปพร้อม ๆ กับพรรคก้าวไกล
ส่วนอีกพรรค ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ในวันที่ไม่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหางเสือคอยคัดท้ายให้ ชั่วโมงนี้กำลังตกอยู่ในภาวะที่ระส่ำด้วย ถึงเวลาต้องมีการปรับทัพจัดขบวนกันเสียใหม่ ซึ่งแน่นอนว่า ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ที่มีชื่อโดดเด่นลอยมาเมื่อ 3 เดือนก่อน อาจก้าวไปสู่ตำแหน่งสูงทางการเมือง ในฐานะตัวตายตัวแทนของลุงตู่นั้น
วันนี้จากมรสุมที่เกิดขึ้นในรวมไทยสร้างชาติ แม้แต่เก้าอี้หัวหน้าพรรคฯ พีระพันธุ์ ก็คงยากที่จะรักษาเอาไว้ได้
สุดท้ายเมื่อพรรคการเมืองทั้งในซีกรัฐบาลและฝ่ายค้าน ต่างถูก ‘สึนามิ’ การเมืองเล่นงานมากบ้างน้อยบ้าง ทำให้ต้องนำไปสู่การจัดระเบียบใหม่ทางการเมือง โดยเฉพาะครม.เศรษฐา รัฐบาลพรรคเพื่อไทย คงถึงเวลาต้องรล้างไพ่ เขย่าสูตรกันเสียใหม่เช่นกัน
ส่วนโฉมหน้าการเมืองหลังถูกสึนามิกวาดจะเป็นอย่างไร ใครจะไปรวมกับใคร ต้องรอติดตามกันต่อไป