การเมืองหลัง ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ผู้นำรัฐบาลตัวจริงได้รับการพักโทษ ถูกจับตามองถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นตามมา โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนในรัฐบาล ครม.เศรษฐา จะปรับเล็กหรือปรับใหญ่ ไม่ว่าช้าเร็วอย่างไรต้องเกิดขึ้นแน่
สีสันการเมืองหลังทักษิณพักโทษ เริ่มจากการเดินทางมาเยี่ยมของ ‘**สมเด็จฮุน เซน’**อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่เสมือนเป็นออเดิร์ฟเรียกน้ำย่อย ก่อนเสิร์ฟของหนักตามด้วยการเดินทางเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้าของนายกรัฐมนตรี ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ผู้ที่มีวันนี้ได้ เพราะพี่ให้อีกคนหนึ่ง
การเดินทางเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า ด้วยรถยนต์ประจำตำแหน่ง ป้ายทะเบียน สร.30 กรุงเทพมหานคร ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย เพียงแต่หลายคนมองว่า
มาเร็วไปหน่อยเท่านั้น มันเลยทำให้เป็นการตอกย้ำถึงคำถามต่าง ๆ ก่อนหน้านั้น ทั้งเรื่องการเป็นศูนย์อำนาจแห่งใหม่ของบ้านจันทร์ส่องหล้า และการเป็นผู้นำตัวจริงของทักษิณ
และแน่นอนว่า ทำให้ภาพความเป็นผู้นำของนายกฯ เศรษฐา ‘หมอง’ ลงอย่างเห็นได้ชัด ต่อให้ขยันลงพื้นที่ตรวจงาน ดูความเป็นอยู่ของข้าราชการตำรวจ ทหารชั้นผู้น้อยถี่ยิบ ขึ้นเหนือ ล่องใต้ขนาดไหน ก็ไม่เหลือภาพความเป็นผู้นำตัวจริงให้เห็นอีก
ส่วนกลางเดือนหน้า 18-19 มีนาคม 2567 ‘แพทองธาร ชินวัตร’ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย จะนำคณะผู้บริหารพรรคเพื่อไทย เดินทางเยือนกัมพูชาตามคำเชิญของสมเด็จฮุน เซน ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชนกัมพูชา เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองการพัฒนาประเทศ ในฐานะที่ต่างก็เป็นพรรคแกนนำรัฐบาลด้วยกัน
การนำคณะเยือนกัมพูชาของแพทองธาร ในฐานะแขกของหัวหน้าพรรคประชาชนกัมพูชา เกิดขึ้นก่อนที่นายกฯ เศรษฐา จะนำคณะรัฐมนตรีไปประชุมร่วม ครม.สองประเทศระหว่างไทย-เวียดนาม ในเดือนพฤษภาคมนี้
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ในขณะที่ภาพความเป็นผู้นำของนายกฯ เศรษฐา ที่นับวันจะถูกบดบังให้อับแสงลง แต่อีกด้านแพทองธาร ที่เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กลับถูกเร่งวันเร่งคืนให้เติบใหญ่ในทางการเมือง ยกเป็นคู่เทียบกับทายาททางการเมืองของกัมพูชา เสมือนเป็นสายสัมพันธ์ของนายกรัฐมนตรีสองแผ่นดิน ประมาณนั้น
มาว่าเรื่องปรับครม.ที่เริ่มพูดถึงดีลลับ ‘กลับบ้าน’ กันหนาหูอีกครั้ง โดยเฉพาะก่อนที่ สว.ชุดปัจจุบัน จะหมดวาระลงในวันที่ 11 พฤษภาคมนี้ นั่นย่อมหมายถึงหากดีลลับไม่ถูกเบี้ยว ก็ต้องเปิดให้มีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ในที่ประชุมร่วมสองสภาอีกครั้ง ส่งท้ายก่อนบทเฉพาะกาลใน มาตรา 272 จะสิ้นสุดลง
นั่นหมายถึง ต้องเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ตามดีลลับหรือสัญญาใจที่มีไว้ต่อกัน!!
หรืออาจจะแค่ปรับเล็กก่อนในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนนี้ เพื่อสลับเก้าอี้ดนตรีตามแบบฉบับของเพื่อไทย ที่ต้องปรับครม.ในทุก 6 เดือน เปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาเป็นเสนาบดีบ้าง บวกกับเก้าอี้รัฐมนตรีกลาโหม ที่เสนาบดีตัวจริงคนของลุง ยังไม่ได้เข้ามา จึงมีข่าวจะให้นายกฯ เศรษฐา มานั่งควบเก้าอี้กลาโหมแทน เพื่อให้ ‘อดีตนายทหารยศพล.อ.คนสนิทลุง’ เข้ามานั่งในตำแหน่ง รมช.กลาโหม
นอกจากนั้น ก็เป็นการปรับเล็กแก้ปัญหาในพรรคพลังประชารัฐไปด้วยพร้อม ๆ กัน หลังมีการขบเหลี่ยมกันในกลุ่ม 3 ป. ‘ป้อม-ป๊อด-แป้ง’ ทั้งปล่อยข่าวเลื่อยขาเก้าอี้ ตกปลาในบ่อตัวเอง จนนำไปสู่การเปิดศึก ส.ป.ก.ข้ามกระทรวงขึ้น
ส่วน ‘ลุงป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะรีเทิร์นเข้ามานั่งในตำแหน่งรองนายกฯ ในโควต้าของ ‘ไผ่ ลิกค์’ ที่ว่างอยู่หนึ่งเก้าอี้ได้หรือไม่
ยังต้องลุ้นกันตัวโก่ง
ไม่ใช่เพราะกลัวผิดคำพูดไม่เอาสองลุง แต่ตามข่าวลุงป้อม กำลังถูกเสียบสกัดจากลูกรักลูกชังที่ทำตัวเลี้ยงไม่เชื่องอยู่!!
เอาเป็นว่า การปรับครม.ถ้าจะต้องนับถอยหลังกันจริง ๆ ก็จะอยู่ในช่วงเวลานี้แหละ คือ ก่อนกับหลังพฤษภาคมไปแล้ว ส่วนจะเอากันแค่พอหอมปากหอมคอ หรือถึงขั้นต้องเปลี่ยนตัวนายกฯ กันเลยนั้น
การเมืองไทยเดินมาถึงวันนี้ มันสุดจะบรรยาย ‘เบิ้ดคำสิเว้า หมดกำอู้’ เป็นยิ่งกว่าละครไปแล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น