น่าแปลกที่ คนระดับโฆษกรัฐบาลอย่าง หมอชัย วัชรงค์ มองไม่ออกแถม ยังไม่พยายามทำความเข้าใจในบริบททางสังคมการเมืองในปัจจุบันว่า เหตุไฉนทั้งสื่อและบรรดาผู้คนในแวดวงการเมืองจึงตั้งคำถามในเชิงเสียดสีหรือเหน็บแนมเชิงประชดประชันกับบทบาทของ นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ผู้พยายามทำตัวเป็น Fashionista ผ้าขาวม้าไทย และสนุกกับการเดินสายไปต่างประเทศแบบถี่ยิบตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา
หมอชัย วัชรงค์ ทวิตลงใน X พยายามปกป้องนายกฯเศรษฐา ที่เปลี่ยนจุดขายจากถุงเท้ามาเป็นผ้าขาวม้าหลากสี ถึงดีลต่างๆที่นายกเพียรพยายามเดินทางเจรจาในประเทศต่างๆทั้งกับภาครัฐและเอกชนชั้นนำว่า ทั้งหมดล้วนแต่เป็นดีลที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงมากๆระดับหลายพันล้านบาทจนถึงหลายแสนล้านบาท
ดีลดังระดับนี้จึงต้องใช้เวลาในการตัดสินใจนานพอสมควร อย่างเร็วสุดน่าจะประมาณ 1 ปี ส่วนใหญ่น่าจะได้คำตอบสุดท้ายภายใน 2-3 ปี
โฆษกฯ ชัย บอกว่าคนที่เข้าใจธุรกิจและมีประสบการณ์อย่างดีในโลกของการค้า และการลงทุน ย่อมทราบดีถึงเงื่อนไขระยะเวลาที่ต้องใช้ และอดทนรอคอยผลสำเร็จของการหว่านพืชเอาไว้ในวันนี้ แต่รัฐบาลตระหนักดีว่าคนบางกลุ่มอาจจะยังไม่มีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน จึงได้ตั้งคำถามกดดันรัฐบาลเช่นนี้
แม้จะมีการ ‘เย้ยหยันบั่นทอน’ กำลังใจในการทำงานอย่างไร รัฐบาลนี้ก็จะยังคงหนักแน่น แน่วแน่ที่จะเดินหน้าทำงานหนักต่อไป และวันหนึ่งผลงานจะเป็นเครื่องพิสูจน์
ฟังคำอธิบายจากโฆษกฯชัยแล้วหลายคนยิ่งเกิดอาการสับสนชีวิต และตกอยู่ในอาการของโรค ‘ซึมเศร้า’ หนักมากขึ้นไปอีก เพราะเห็นถึงความสับสนในวิธีการทำงานของรัฐบาลของนายกฯเศรษฐาค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดลำดับความสำคัญของปัญหา
หากยังจำกันได้ เมื่อตอนที่รัฐบาลเข้ามาบริหารงาน นายกฯเ ศรษฐา ประกาศว่าจะเข้ามากู้วิกฤตเศรษฐกิจ พร้อมกับยืนยันจะผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อ ‘ปั้ม’ หัวใจ โดยจะไม่ใช้มาตรการแบบเดิม ๆ ที่เหมือน ‘หยอดน้ำข้าวต้ม’ โดยชูนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 5 แสนล้านบาท เป็น ‘เรือธง’ ที่จะมาช่วยกู้วิกฤต
แต่จนถึงวันนี้ นโยบายดังกล่าวก็ยังไปไม่ถึงไหน รัฐบาลจะผลักดันให้ออกเป็น พ.ร.บ.กู้เงิน หรือจะไปต่ออย่างไร ยังคงไม่มีคำตอบที่ชัดเจน รัฐบาลกลับปล่อยให้คนไทยนอนหยอดน้ำข้าวต้มมากว่าครึ่งปีแล้ว โดยมีเพียงมาตรการเยียวยา ประคองอาการแบบเดิม ๆ ไปก่อน เช่นการตรึงราคาไฟฟ้า พลังงาน และกดราคาสินค้าเอาไว้ ระหว่างที่รอ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 ผ่านสภาฯ ซึ่งเร็วที่สุดคงต้องหลังสงกรานต์เดือนเมษายน
ในเวลาเดียวกันก่อนเดินสายบินไปนอกเที่ยวล่าสุด คงไม่อยากให้คนไทยนอนหยอดน้ำข้าวต้มแบบไร้ความหวังต่อไป นายกฯ เศรษฐา ก็เลยลุกขึ้นมาเล่นบทขายฝัน ‘จุดไฟ’ ให้รู้สึกทะเยอทะยาน ก่อนเดินสายบินไปนอกเที่ยวล่าสุด นายกฯเศรษฐา จึงขึ้นเวที IGNITE Thiailand ประกาศวิสัยทัศน์ 8 ด้าน ที่จะสร้างให้ไทยเป็นหนึ่งในอาเซียน คงหวังให้คนไทยลืมๆเรื่อง เงินดิจิทัลวอลเล็ต หมื่นบาท ที่หลาย ๆ คนยังตั้งตารอ
มันเป็นอะไรที่น่าแปลกพิกล เพราะในขณะที่ นายกฯ เศรษฐา และบรรดาคนในรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ย้ำคิดย้ำทำระบุว่า เศรษฐกิจไทยกำลังวิกฤต เพื่อสร้างความชอบธรรม ในการผลักดันการออก พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท แต่รัฐบาลกลับไม่เร่งออกมาตรการอื่นๆ ออกมาเพื่อแก้ไขวิกฤต แถมกลับโยนปัญหาให้แบงก์ชาติช่วยใช้นโยบายด้านการเงิน โดยการกดดันให้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง
ในเมื่อโฆษกฯชัย ก็ทราบดีว่า ดีลใหญ่ระดับหลายพันหลายแสนล้านบาท ที่นายกฯ เศรษฐาไปเจรจานั้น ต้องใช้เวลาอีกเป็นปี ๆ กว่าโครงการจะเกิดเป็นรูปธรรม คำถามคือ คนไทยที่นอนหยอดน้ำข้าวต้มอย่างที่รัฐบาลเคยเปรียบเปรยเอาไว้ จะทนรอเห็นความสำเร็จของพืช ที่นายกฯ เศรษฐาหว่านเอาไว้ หรือจะต้องนอนตายซากไปเสียก่อน
น่าจะถึงเวลาสักทีที่รัฐบาลของนายกฯ เศรษฐา ควรจะหยุดอาการ ‘สับสน’ ชีวิต และหยุดโปรแกรมออนทัวร์ หันกลับมาจัดลำดับความสำคัญของปัญหาว่า อะไรคือเรื่องเร่งด่วน และสำคัญ
ปักหลักนั่งระดมสมอง หาแนวทาง และมาตรการที่จะพลิกวิกฤตเศรษฐกิจที่รัฐบาลอ้างว่าเรากำลังเผชิญอยู่เสียที...