ยิ่งนานวัน ตลาดหุ้นไทย ก็ตกอยู่ในภาวะสิ้นสภาพ สิ้นหวัง และใกล้สิ้นใจเข้าไปทุกที
ล่าสุดดัชนีตลาดหุ้นเมื่อวันอังคารที่ 5 มีนาคม ยังคงลื่นไถลลงไปอีก 3.33 จุด ไปปิดที่ 1,359.26 จุด โดยมีมูลค่าการซื้อขายเหือดแห้งเหลือเพียงราว 3.9 หมื่นล้านบาทถึงแม้วันนี้จะมีการ **‘รีบาวน์’**กลับมา แต่ก็ยังคงอยู่ในกรอบ 1,360-1,370 จุด
แค่สองเดือนแรกของปีนี้ ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงไปแล้วถึง 40 จุด หรือราว 3% สวนทางทิศทางตลาดหุ้นโลก โดยเฉพาะ 3 ตลาดหลักของตลาดหุ้นวอลสตรีทที่ทำ All Time High ทั้ง Dow Jones S&P และ Nasdaq หลังจากมีแนวโน้มว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED น่าจะเริ่มใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย และคงมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในเร็ว ๆ นี้
ในขณะที่สินทรัพย์เสี่ยงประเภทอื่นก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นและทำ All Time High เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นทองคำ หรือบิตคอยน์
ทั้งหมดสวนกระแสกับหุ้นไทยโดยสิ้นเชิง และจากสภาพดังกล่าว จึงทำให้ตลาดหุ้นไทยตกอยู่ในอาการของคนเป็นโรคซึมเศร้า Depression อย่างรุนแรง
อาการนี้ไม่ใช่เพียงความรู้สึกไม่สบายกายหรือไม่สบายใจที่สามารถสลัดออกไปง่ายๆ แต่เป็นอาการผิดปกติทางอารมณ์ ที่ส่งผลต่อนักลงทุนทั้งด้านความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรม เป็นภาวะอารมณ์ที่เศร้าหมองอย่างต่อเนื่อง จนเริ่มเกิดความรู้สึกเฉยชา ไม่สนใจสิ่งต่างๆส่งให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้ ถึงขนาดเริ่มรู้สึกชีวิตไร้ค่า
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ หุ้นไทย ตกอยู่ในอาการของโรคซึมเศร้าอย่างรุนแรง สาเหตุสำคัญมาจาก ‘ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย’ ที่ยังคงไม่มีอะไรที่จะสร้างความหวังให้กับนักลงทุนที่จะสนใจเข้ามาลงทุน เมื่อเปรียบเทียบในเชิงผลตอบแทนกับประเทศอื่น ๆ
คงปฎิเสธไม่ได้ว่า โครงสร้างตลาดหุ้นไทยนั้น มีผู้เล่นหลัก ๆ ในตลาด อยู่เพียง 3 กลุ่มหลัก ๆ คือ นักลงทุนต่างชาติ นักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนรายย่อย เมื่อต่างชาติไม่ให้ความสนใจตลาดหุ้นไทย แถมตรงกันข้ามมีการเทขายไปแล้วถึงกว่า2.25 แสนล้านบาท จึงเหลือผู้เล่นหลักๆเพียง 2 กลุ่ม ที่ซื้อขายกันเอง ทำให้ตลาดหุ้นไทยไม่มีแรงส่งมากพอที่จะช่วยดันให้ดัชนีเงยหัวขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,400 จุดได้ง่าย ๆ
ถึงเวลาแล้วที่ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ที่นั่งควบในตำแหน่ง รมว.คลัง ต้องกลับมานั่งทบทวนบทบาทที่ผ่านมาเกือบ 6 เดือนของตัวเองว่ามีอะไรที่ผิดพลาด จึงไม่สามารถกอบกู้ภาพลักษณ์เศรษฐกิจไทยให้ดีขึ้นในสายตาต่างชาติ
เกิดอะไรขึ้นกับ 6 เดือนที่สูญเสียไปจากภารกิจการเดินสายไปต่างประเทศชนิดถี่ยิบที่ไม่ต่างอะไรกับการไป ‘โรดโชว์’ ของนายกฯเศรษฐา ทั้ง ๆ ที่มีความพยายามจะแสดงวิสัยทัศน์ด้านนโยบายเศรษฐกิจให้บรรดาผู้นำทั้งภาครัฐ และเอกชน ในต่างประเทศจำนวนมาก แต่ผลสะท้อนที่กลับมาดูจะกลายเป็น ‘ความพยายามที่สูญเปล่า’
หากไม่พูดถึงตัวเลข ‘การสะสมไมล์เดินทาง’ หรือตัวเลข ‘การเข้าสัมผัสมือ’ พบปะกับบรรดาผู้นำทั้งภาครัฐและเอกชนของนายกฯ เศรษฐา ยังคงไม่มีดีลใหญ่ๆของบรรดาบริษัทข้ามชาติที่ประกาศการเข้ามาลงทุนในไทยอย่างจริงจัง และหากดูจากปฎิกริยาตอบรับจากฝั่งตลาดทุนก็ยังเห็นได้ชัดว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงไม่อยู่ใน ‘เรดาร์ แสกน’ ของบรรดานักลงทุนสถาบัน และกองทุนต่างชาติที่จะขนเงินกลับมาลงทุนในตลาด
บางที ‘Actions speak louder than Words’ ยังคงเป็นสิ่งที่ต่างชาติอยากเห็นมากกว่า การนั่งฟังนายกฯ เศรษฐา ฉายวิสัยทัศน์วาดฝันอันแสนทะเยอทะยานที่อยากเห็นประเทศไทยเป็นที่หนึ่งในอาเซียนทั้ง 8 ด้าน หรือภาพฝันของโครงการแลนด์บริดจ์ ที่ยังไม่ตอบโจทย์การจะเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางเรือในอาเซียนเหนือสิงคโปร์
น่าจะถึงเวลาแล้ว ที่นายกฯ เศรษฐา ต้องกลับมานั่งเป็นหัวโต๊ะ ทั้งในบทบาทนายกฯและรมว.คลัง ในการกำหนดแผนปฎิบัติการและลงมือแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแบบลงลึกถึงปัญหาและหาทางแก้ไขมากกว่าที่จะการแก้ปัญหาแบบฉาบฉวย
ในฝั่งตลาดทุนที่นายกฯ เศรษฐาประกาศว่า จะยกระดับให้ไทยเป็น Financial Hub ของอาเซียน ก็น่าจะถึงเวลาที่จะต้อง ‘ระดมสมอง’ ทำ Work Shop กับบรรดาตัวแทนของสภาตลาดทุนไทย เพื่อเร่งแก้ไขปัญหา Pain Point ต่างๆที่เป็นตัวถ่วงไม่ให้ตลาดหุ้นไทยขับเคลื่อนไปข้างหน้า โดยเฉพาะเรื่องกฎกติกา และมาตรการกำกับการซื้อขาย ที่โปร่งใสและปกป้องนักลงทุนมากกว่าที่เป็นอยู่
ต้องยอมรับว่าปัญหาในตลาดหลักทรัพย์ฯเวลานี้ มีหลายเรื่องที่ต้องเร่งแก้ไขให้หายจากอาการโรคซึมเศร้า ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะอยู่ระหว่างช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนแปลง
ถึงแม้จะมีประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯคนใหม่ ‘พิชัย ชุณหวชิร’ ที่เป็นสายตรงมาจากตัวนายกฯ เศรษฐาเอง แต่การนั่งนับวันรอที่จะลุกจากเก้าอี้ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯของ ‘ภากร ปีตธวัชชัย’ ก็ทำให้ไม่มีมาตรการเชิงรุกที่จะออกมาช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กลับมา
ซ้ำร้ายบางกรณียังดูจะสะท้อนให้เห็นถึงอาการ ‘แหยง’ กล้าๆกลัวๆในการที่จะลงดาบหรือใช้มาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ อย่างในกรณีของ หุ้น MGI มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) ของ บอส ณวัฒน์ อิสรไกรศีล หุ้นมหัศจรรย์ที่มีพฤติกรรมใช้ Social Media ของเจ้าของ และเจ้ามือเพื่อเชียร์หุ้น และโจมตีตลาดหลักทรัพย์ฯ แบบเย้ยฟ้าท้าดิน แต่ก็ยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น อาการโรคซึมเศร้าและสับสนในชีวิตของผู้คนในตลาดหลักทรัพย์ยังสะท้อนชัดเจนจาก ความผิดพลาดชนิดไม่น่าให้อภัยในการปลดเครื่องหมายพักการซื้อขาย หรือ SP ของหุ้น JKN MILL และ MILL-W7 ให้กลับมาซื้อขายได้ ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็มีการเทรดซื้อขายไปคิดเป็นมูลค่ารวมกันราว 6.29ล้านบาท จนตลาดหลักทรัพย์ฯต้องออกมายอมรับความผิดพลาด และแจ้งยกเลิกออเดอร์ทั้งหมด พร้อมทั้งจะเยียวยาความเสียหายดังกล่าวต่อไป
ถึงแม้มูลค่าความเสียหายจากกรณีนี้จะไม่ได้มากมายนัก แต่ก็ซ้ำเติมภาพลักษณ์การทำงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ ‘ติดลบ’ อยู่แล้วให้เสียหายหนักขึ้นไปอีก
ถึงเวลาแล้ว ที่นายกฯ เศรษฐา จะหยุดทำสถิติการเดินสายไปต่างประเทศ หรือการลงพื้นที่ในต่างจังหวัด และหันกลับมาให้ความสำคัญกับการมานั่งหัวโต๊ะบัญชาการ ตั้ง War Room เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ตัวเองพร่ำบอกว่า ‘วิกฤติ’ เสียที...