ไล่เรี่ยติด ๆ กันสองวันซ้อน ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย กลับหลังหันในสองเรื่องใหญ่ คือ เรื่องแรก ถอนการแก้ไขกฎหมายลูกสองฉบับ ได้แก่ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปราบการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) และพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในวันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
โดยให้เหตุผลเพื่อนำกลับไปทบทวนให้รอบคอบก่อนเสนอเข้าไปใหม่ แต่ก็เป็นการถอนแบบรุกรี้รุกรน ก่อนสภาจะพิจารณาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ชนิดที่ประธานรัฐสภา ต้องสั่งงดการประชุมในวันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ ผ่านการให้สัมภาษณ์สื่อก่อน และให้เลขาธิการรัฐสภา มีหนังสือด่วนที่สุดแจ้งให้สมาชิกทราบตามหลัง
ทั้ง ๆ ที่พรรคเพื่อไทย ได้ยื่นขอแก้ไขกฎหมายลูกทั้งสองฉบับต่อประธานรัฐสภา ไปตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2566 ก่อนหน้ารัฐบาลชุดนี้จะเข้าบริหารประเทศด้วยซ้ำ
แต่สุดท้ายเมื่อเจอแรงต้านจากกลุ่มสว.สายอนุรักษ์ อีกทั้ง ป.ป.ช.ผู้ทำหน้าที่รักษาการตามกฎหมายนี้ ก็ออกมายืนจังก้าขวางไม่ให้แก้ไข จึงต้องถอนฟืนราไฟกันไปก่อน
เรื่องที่สอง การถอยแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ซึ่งหลังประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ครั้งที่ 1/2567 ช่วงบ่ายแก่วันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ แม้จะได้ข้อสรุปให้ดำเนินการตามข้อเสนอของสองหน่วยงาน คือ คณะกรรมการกฤษฎีกา และ**คณะกรรมการ ป.ป.ช.**ที่ให้คำแนะนำ
โดยตั้งคณะทำงานขึ้นมาดำเนินการสองชุด ได้แก่
1.คณะทำงานศึกษาพิจารณาข้อเสนอของกฤษฎีกา และ ป.ป.ช.ภายใน 30 วัน เมื่อศึกษาเสร็จจะนัดประชุมคณะกรรมการดิจิทัลฯ ชุดใหญ่อีกครั้ง เพื่อสรุปเสนอครม.เห็นชอบต่อไป
2.ตั้งอนุกรรมการด้านการตรวจสอบความโปร่งใส เพื่อป้องกันการทุจริตในโครงการ
เหมือนจะมีความคืบหน้าชัดเจนแต่ไม่ชัด!!
เพราะในการแถลงผลประชุมของนายกรัฐมนตรี มีคำถามตั้งแต่เริ่มแถลงที่มีเพียงคนในพรรคเพื่อไทยยืนประกบซ้ายขวาและเป็นฉากหลังอยู่แค่ 3 คน คือ ‘ภูมิธรรม-จุลพันธ์-เผ่าภูมิ’ ไม่มีคนจากพรรคร่วมรัฐบาลมายืนเป็นไม้ประดับประกอบฉากเหมือนทุกครั้ง
ขณะที่ในช่วงถามตอบนักข่าว นายกรัฐมนตรี ที่เคยบอกไว้จะให้ความกระจ่างและมีความคืบหน้าของโครงการอย่างแน่นอน กลับมีท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้ ทุกอย่างถูกโยนไปที่คณะกรรมการดิจิทัลฯ ทั้งหมด เหมือนเรือธงลำนี้ได้ออกสู่ทะเลกว้างไปแล้ว มองไปทางไหนก็เคว้งคว้างไปเสียทั้งหมด แถมยังสำทับว่าต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ด้วย
‘ทุก ๆ อย่างจะมีการพิจารณาใหม่หมด ให้มีการเสนอแนะในวงกว้าง มีการพูดคุยในภาพเศรษฐกิจโดยรวมไม่ว่าจะเป็นอัตราเงินเฟ้อ ตัวเลขจีดีพีที่โตต่ำ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย หลาย ๆ เรื่อง’
นายกฯ เศรษฐาตอบคำถามไว้ตอนหนึ่ง
หรืออย่างคำถามที่ว่าแจกปีนี้จะทันหรือเปล่า การันตีได้หรือไม่ว่า ‘ช้าแต่ชัวร์’ ก็ได้คำตอบกว้าง ๆ ว่า
‘ค่อนข้างที่จะเป็นไปได้ แต่ไม่แน่ใจว่าจะช้าด้วยหรือเปล่า เพราะตอนนี้ยังไม่ทราบว่าข้อเสนอแนะคืออะไร ถ้าทุกคนสรุปออกมาว่าเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน เศรษฐกิจอยู่ในภาวะวิกฤตแล้ว มีคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาแล้วและทุกภาคส่วนสบายใจว่าสามารถกำกับดูแลเรื่องนี้ให้มีความโปร่งใสได้ หรือคณะกรรมการที่รับผิดชอบดูแลแต่ละหน่วยงานตอบคำถามพี่น้องประชาชนได้ ก็เชื่อว่าจะเดินต่อได้เร็ว’
หรือเมื่อถามถึงข้อเสนอ ป.ป.ช.ที่ให้แจกเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ก็ถามกลับว่าใครคือกลุ่มเปราะบาง
‘พอได้รับฟังความคิดเห็นมาบอกว่า ให้แจกเฉพาะกลุ่มเปราะบาง จึงอยากให้บอกมาเป็นเอกฉันท์เลยว่ากลุ่มเปราะบางนั้นเท่าไหร่ แล้วมานั่งพูดคุยกันดีกว่า’
สุดท้ายถามว่า การแจกเงินดิจิทัลจะเกิดขึ้นแน่นอนใช่หรือไม่ คำตอบคือ
‘เดี๋ยวต้องฟังจากที่คณะกรรมการประชุมกัน’
และอีกหลายคำตอบที่ย้ำ ๆ ว่า ‘ต้องฟังจากคณะกรรมการ’ ทุกอย่างจึงถูกโยนไปที่คณะกรรมการดิจิทัลฯ ทั้งหมด เหมือนกับว่าพี่เลี้ยงที่อยู่ข้างล่างได้โยนผ้าขึ้นมาบนเวทีแล้ว
การกลับหลังหันของรัฐบาลในสองเรื่องใหญ่ติดกันสองวันซ้อน ถูกประเมินว่า ในสถานการณ์การเมืองที่ฝ่ายขวากำลังรุกหนัก และกินพื้นที่เข้ามาเรื่อยๆ จึงทำให้มีคำสั่งถอยทั้งเรื่องการแก้ไขกฎหมายลูกและการแจกเงินหมื่น เพราะไม่อยากเล่นเกมเสี่ยง รอดูสถานการณ์ไปอีกระยะแล้วค่อยมาคิดอ่านกันใหม่
ทั้งการถอนร่างแก้ไขสองกฎหมายลูก และการแจกเงินหมื่นที่ยืดเวลาออกไปอีก 30 วัน จึงเป็นสัญญาณการเมืองจากพรรคเพื่อไทย ที่คนกดปุ่มต้องการประคองสถานการณ์ให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อน หากขืนเพลี่ยงพล้ำจะทำให้เสียการใหญ่ที่เฝ้ารอมานานเกือบ 20 ปี
จึงไม่แปลกที่ต้องถอยกรูดเรื่องสำคัญติด ๆ กันในช่วงนี้แบบไอ้เสือถอย!!