ในจำนวน สส.รุ่นใหม่ของพรรคก้าวไกล ที่ได้เข้าสภาหลังการเลือกตั้งทั่วไป 14 พฤษภาคม 2566 โดยเฉพาะในสนาม กทม.ที่พรรคก้าวไกล แลนด์สไลด์ กวาดสส.กรุงเทพฯ ได้มากถึง 32 ที่นั่ง จากทั้งหมด 33 ที่นั่ง
‘แบงค์’ ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กรุงเทพฯ เขต 9 (หลักสี่ จตุจักร บางเขน) เป็นหนึ่งใน สส.ป้ายแดง ที่ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ให้กับพรรคสีส้มในสนามเมืองหลวง
แม้ชื่อจะเป็นคนหน้าใหม่ ที่ไม่คุ้นหูในแวดวงการเมืองนัก แต่นามสกุล ‘มีนชัยนันท์’ ย่อมเป็นที่รู้จักกันดี ในฐานะบ้านใหญ่กทม.โซนฝั่งตะวันออก ผูกขาดเก้าอี้ทั้ง สส.และสก.พื้นที่มีนบุรี คลองสามวา มานานปี
เพียงแต่ ‘แบงค์-ศุภณัฐ’ ไม่ได้เดินตามรอยคนในตระกูลมีนชัยนันท์ แถมมาแจ้งเกิดทางการเมืองนอกพื้นที่ยึดครองของตระกูล แล้วยังผ่าเหล่าเลือกเส้นทางการเมืองของตัวเอง มาอยู่กับพรรคก้าวไกลอีกต่างหาก
ไม่ยอมเดินตามรอยสองลุง ‘วิชาญ-วิรัตน์ มีนชัยนันท์’ ที่สังกัดค่ายเพื่อไทย
‘เหตุผลว่าทำไมผมถึงเลือกทำงานกับพรรคก้าวไกล เพราะ 4 ปีที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลได้พิสูจน์บทบาทในสภาได้อย่างเด่นชัดที่สุดว่า กำลังต่อสู้กับระบบอุปถัมภ์ ทุนผูกขาด’
แบงค์ให้สัมภาษณ์ไว้บอกถึงเหตุผลการตัดสินใจเลือกพรรคก้าวไกล เพื่อต้องการสร้างการเมืองแบบใหม่ที่ดีกว่าเดิม และหนีความเหลื่อมล้ำ ความล้าหลังของประเทศ จากการบริหารแบบเดิมๆ ของรัฐบาลในขณะนั้น
ชื่อ สส.ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ เริ่มเป็นที่รู้จักบนหน้าสื่ออย่างจริงจังในช่วงปลายปีที่ผ่านมา เมื่อออกมาเรียกร้องให้ปลดล๊อกผังเมืองกทม.ผ่านการแสดงความเห็นหลายเวทีในฐานะ สส.กรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล
‘พื้นที่กรุงเทพเหนือไม่มีเมืองหรือจุดความเจริญใหม่ๆ เกิดขึ้นมากนัก ทั้งที่มีศักยภาพเพียงพอ นั่นเพราะถูกผังเมืองกดทับศักยภาพไว้ ทำให้นักลงทุนทั้งในเชิงการพาณิชย์และอสังหาริมทรัพย์ไม่พร้อมที่จะลงทุน เพราะเกรงว่าจะไม่คุ้มทุน หากผังเมืองมีศักยภาพต่ำ นักลงทุนก็ไม่พร้อมที่จะลงทุน นั่นก็เป็นปัญหาที่ทำให้กรุงเทพฯ ชานเมืองไม่เจริญเสียที คนก็มุ่งเข้าสู่สุขุมวิท สาทร เพลินจิต แต่ชานเมืองไม่สามารถเจริญได้ และศักยภาพที่ดินของกรุงเทพเหนือก็ต่ำกว่าในเมือง 3 เท่า ดังนั้น การปลดล็อกผังเมืองจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเจริญได้’
แม้จะเป็นการออกมาเรียกร้อง ที่ดูจะทับซ้อนกับผลประโยชน์ของตระกูลมีนชัยนันท์อยู่บ้าง เพราะมีฐานะอยู่ในระดับแลนด์ลอร์ด เป็นเจ้าของที่ดินหลายพันไร่ในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของ กทม.ที่มีมูลค่าที่ดินนับหมื่นล้านบาท
แต่ สส.ศุภณัฐ ก็มองในมิติของการพัฒนาในภาพรวมเป็นหลัก โดยเห็นความสำคัญของผังเมืองคือการเป็นแกนกลางหลักที่กำหนดว่าการพัฒนาเมืองจะดำเนินต่อไปในทิศทางใด
‘หากวิเคราะห์การแบ่งโซนสีในร่างผังเมืองกรุงเทพฯ ฉบับใหม่ ก็จะพบว่ายังคงกำหนดให้ความเจริญพุ่งเข้าสู่จุดศูนย์กลางเมือง และกดทับพื้นที่ชานเมืองไม่ให้สามารถพัฒนาได้เต็มที่ ด้วยข้ออ้างเรื่องของการจัดระเบียบ การวางผังเมืองเช่นนี้ทำให้คนจากชานเมืองต้องพุ่งเข้าไปแออัดอยู่ในเมืองเพื่อหางานทำ เสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปกลับระหว่างบ้านและที่ทำงาน’
ถัดจากเรื่องผังเมือง กทม.ที่ยังไม่จบและเป็นการบ้านข้อใหญ่ที่คนกรุงต้องร่วมกันหาคำตอบให้กับการพัฒนามหานครเมืองฟ้าอมรแห่งนี้กันต่อ
สส.ศุภณัฐ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในกรรมาธิการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ จากพรรคก้าวไกล ยังได้ร่วมกับกรรมาธิการพรรคเดียวกันอีกสองคน แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับผลการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ ด้วยการลาออก พร้อมกับทิ้งคำถามถึงเงื่อนงำรายงานการศึกษาฉบับเจ้าปัญหาเอาไว้
‘ผมขอถามกลับว่า หากต่างประเทศย้อนกลับมาถามเราว่า ศึกษาแล้วไม่คุ้มทุนอย่างที่รัฐบาลไทยไปขายเขา มันจะเกิดอะไรขึ้น หมายความว่าประสิทธิภาพในการศึกษา ทำวิจัย ข้อมูลของรัฐบาลไทย แย่หรือมีปัญหาหรือเปล่า หรือรัฐบาลไทยกำลังหลอกให้ต่างชาติมาลงทุนหรือไม่ ตรงนี้จึงเป็นเหตุผลว่าหากรายงานออกมาเป็นแบบนี้ เราใช้กมธ.หรือสภาเป็นตรายาง เป็นตราประทับลงไป สร้างความเสียหายทั้งต่อตัวตน ซึ่งเป็นหนึ่งในกมธ.ผู้ศึกษาและสร้างความเสียหายต่อรัฐสภา หรือสร้างความเสียหายให้กับผู้ที่นำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้อ้างอิง เพื่อเชิญมาลงทุน และขายให้กับต่างชาติ’
ลำพังสองเรื่องใหญ่นี้ น่าจะทำให้ชื่อ สส.แบงค์ ‘ศุภณัฐ มีนชัยนันท์’ เริ่มติดหู เป็นที่รู้จักของผู้คนในฐานะนักการเมืองรุ่นใหม่ ที่แสดงบทบาทได้โดดเด่นอีกคนหนึ่งในกลุ่มสส.หน้าใหม่ด้วยกัน โดยเฉพาะในพรรคก้าวไกล
ด้วยศักยภาพที่มีอยู่ในตัว บวกกับการเป็นทายาทของกลุ่มบ้านใหญ่ตระกูลมีนชัยนันท์ ที่จัดอยู่ในกลุ่มการเมืองที่เรียกว่ามีแสงในตัวเอง ทั้งยังมีคอนเนคชันและลมใต้ปีกอื่น ๆ อีกมาก
หากย้อนเวลาเข้าไปดูการทำการเมืองแบบจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งในพรรคก้าวไกล เพื่อรองรับความไม่แน่นอนในสถานการณ์การเมืองของพรรค ที่เริ่มจากธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มาถึงพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จนมาถึง ชัยธวัช ตุลาธน ในวันนี้
ในท่ามกลางการต่อสู้ทางการเมืองที่ยังต้องดำเนินไปต่อ แต่ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นกับพรรคก้าวไกลอีก โดยเฉพาะคดีมาตรา 112 ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินในวันที่ 31 มกราคมนี้ ผลจะออกมาซ้ำรอยเดิมพรรคอนาคตใหม่อีกหรือไม่ ไม่มีใครตอบได้
‘แบงค์-ศุภณัฐ มีนชัยนันท์’ จึงเป็นคนอีกรุ่น อีกแถวหนึ่งของพรรคก้าวไกล ที่ถูกเตรียมไว้รองรับการเปลี่ยนผ่านที่อาจวนกลับมาที่เดิมอีกในอนาคต