สถานการณ์การเมืองไทยวันนี้ แม้ภาพความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ดูจะลดดีกรีลงไปบ้าง เมื่อนายกอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร ใช้ ครม.สัญจรภาคใต้ สร้างภาพความแนบแน่นภายใน ครม.
ทั้งท่าทีที่มีต่อเสี่ยหนู อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมหาดไทย รวมถึงการถ่ายภาพหมู่ริมหาดสมิหลา ที่ ครม.ต่างพรรค ร่วมถ่ายภาพกันแบบชื่นมื่น แม้แต่กระทั่งภาพที่ถ่ายร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ยังเป็นภาพที่ดูจะกลบกระแสข่าวปล่อยเรื่องการปรับครม.ที่พีระพันธ์ ตกเป็นเป้าหมายสำคัญให้ดูลดความน่าเชื่อถือลงไปด้วย
ต้องยอมรับว่า ท่าทีนายกฯหญิงในช่วงหลังๆ เริ่มเรียกคะแนนนิยมจากพรรคร่วมรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในหมู่น้าๆอาๆ ร่วม ครม.จากต่างพรรค
แต่กระนั้น แม้จะมีภาพแห่งความแนบแน่นจากภาพบรรยากาศแห่งความชื่นมื่น ก็ยังคงมีกระแสความพยายามที่จะชี้ให้เห็นถึงรอยร้าวภายในพรรคร่วมรัฐบาล จากบรรดาเกจิอาจารย์ทางการเมืองบางกลุ่ม โดยชี้เป้าไปที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ หรือต้นเดือนมีนาคม
บรรดาเกจิกลุ่มนี้ ชี้ว่าจะเป็นการอภิปรายที่มีนายกอิ๊งค์ แพทองธาร เป็นเป้าหมายใหญ่ ส่วนรัฐมนตรีกระทรวงอื่น เป็นเป้าหมายรองเท่านั้น
ซึ่งนั่น…จะเป็นชนวนร้อนทางการเมือง ที่จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลโดยตรง
ส่วนบรรยากาศนอกสภา จู่ๆ ก็เกิดประเด็นร้อนบนพื้นที่ทับซ้อนชายแดนไทย-กัมพูชาขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อปรากฏคลิปภาพชาวกัมพูชากลุ่มหนึ่ง ขึ้นไปร้องเพลงปลุกใจเรียกความสามัคคีคนกัมพูชา ในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม อันเป็นพื้นที่ซึ่งอยู่ใกล้เคียงแนวเขตที่อยู่ในระหว่างการตรวจสอบ
คลิปนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2567 และฝ่ายไทยโดย พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ก็ได้ทำหนังสือประท้วงไปแล้วตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม 2567
การนำคลิปนี้มาปล่อยผ่านช่องทางโซเชี่ยลมีเดียอีกครั้ง กำลังถูกตั้งข้อสังเกตว่า ใครจงใจนำมาปล่อย และมีวัตถุประสงค์ใด ที่นำคลิปมาปล่อยในช่วงเวลานี้
เพราะเมื่อครั้งสถานการณ์ความขัดแย้งบนเขาพระวิหาร ระหว่างไทย-กัมพูชา จะเกิดขึ้นจนบานปลายเป็นการใช้กำลังเข้าปะทะกันในช่วงระหว่างวันที่ 4 - 6 กุมภาพันธ์ 2554
ซึ่งก่อนหน้านั้นในช่วงเดือนธันวาคม 2553 ก็เกิดความไม่เข้าใจระหว่างกัน เมื่อทางการกัมพูชา จับตัวคนไทย 7 คน ประกอบด้วย 1.พนิช วิกิตเศรษฐ์ 2.วีระ สมความคิด 3.กิชพลธรณ์ ชุสนะเสวี 4.ร้อยตรี แซมดิน เลิศบุศย์ 5.ตายแน่ มุ่งมาจน 6.นฤมล จิตรวะรัตนา และ 7.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ขณะลงพื้นที่ตรวจสอบเรื่องร้องเรียนว่าทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในเขตไทย บริเวณอำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ทำให้ทั้ง 7 คนถูกทหารรักษาชายแดนที่ 503 ของกัมพูชา ควบคุมตัวและตั้งข้อหาเดินทางข้ามพรมแดนโดยผิดกฎหมายและรุกล้ำเขตทหาร จนถูกนำตัวไปขังไว้ในเรือนจำเปนย์ซาร์ นอกกรุงพนมเปญ
ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เริ่มมีสัญญาณความพยายาม ที่จะก่อให้เกิดความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาขึ้นมาอีก!
บรรยากาศทั้งความคุกรุ่นบริเวณแนวชายแดน การเมืองทั้งและนอกสภา เริ่มมีการเล่นนอกเกม และยังมีปัจจัยความเคลื่อนไหวบางอย่างที่อาจส่งกระทบต่อความมั่นคงขั้นสูง จนถึงขั้นมีการส่งสัญญาณไปยังสื่อของรัฐให้ระมัดระวังการนำเสนอภาพและข่าวบางเรื่องของบางบุคคล ทั้งหมดกำลังเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้องจับตาการโยกย้ายนายทหารกลางปี ที่จะมีขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมเพื่อมีผลในเดือนเมษายนอย่างใกล้ชิด
แม้ที่ผ่านมาการโยกย้ายนายทหารกลางปี ส่วนใหญ่จะเป็นการโยกย้ายเล็กไม่กี่ตำแหน่ง แต่การโยกย้ายนายทหารกลางปี 2568 นี้ กำลังน่าติดตามอย่างใกล้ชิดเป็นอย่างยิ่ง…
น่าติดตามเพราะการโยกย้าย เมื่อเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา บิ๊กต่อ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ อดีตผู้บัญชาการทหารบก ทำโผโยกย้ายแบบทิ้งอัตราพลเอกไว้ 2 อัตรา…
อันเป็น 2 อัตราที่มีนัยยะของการเปิดโอกาสให้ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน ที่จะทำโผโยกย้ายเป็นบัญชีแรกในเดือนเมษายนนี้ได้มีอัตราสำหรับขยับตำแหน่ง พล.อ.บางตำแหน่ง หรือขยับพล.ท.ในตำแหน่งหลัก ขึ้นมาเป็น พล.อ.ได้ถึง 2 อัตรา
ซึ่งนั่นจะเป็น 2 อัตราที่ทำให้ส่งผลกระทบลงไปในระดับ พล.ท.ตำแหน่งหลัก ตำแหน่ง พล.ต. และขยับลงไปถึงบัญชี น.5 หรือบัญชีพันเอกพิเศษ ซึ่งเป็นบัญชีระดับผู้บังคับการกรม และส่งผลกระทบลงไปถึงโผผู้พัน
นอกจากพลเอก 2 อัตราแล้ว ล่าสุดการเปิดโอกาสให้มีโครงการเกษียณก่อนกำหนด ยังทำให้มีนายทหารยศพลโทหลายนาย ยื่นขอใช้สิทธินี้ และมีพลโทตำแหน่งหลัก 1 ตำแหน่ง คือ พล.ท.คมกฤช รัตนฉายา แม่ทัพน้อยที่ 4 ขอเกษียณอายุก่อนกำหนด ทำให้ตำแหน่งแม่ทัพน้อยที่ 4 ว่างลง
จาก พลเอก 2 อัตรา แม่ทัพน้อยที่ 4 อีก 1 อัตรา ยังมีตำแหน่ง พลโทที่อาจจะว่างลงอีก 1 อัตรา จากกรณีที่เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 กองทัพบกมีคำสั่งย้ายพล.ท.ณรงค์ สวนแก้ว เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก (ตท.25) ไปช่วยราชการที่กองบัญชาการทหารบก จากข้อร้องเรียนมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กรณีทำร้ายผู้ใต้บังคับบัญชา
อัตราว่าง 2 พลเอก และ 2 พลโท ตำแหน่งหลัก จะส่งแรงกระเพื่อมต่อการโยกย้ายนายทหารระดับนายพลรอบกลางปีขนาดไหน…
ทั้ง 4 อัตราในตำแหน่งหลักจะทำให้ บิ๊กปู ขยับเก้าอี้นายพลบางเก้าอี้ เพื่อให้เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร (ตท.26) และรุ่นน้องที่ไว้ใจได้ เข้ามาคุมกำลังเพื่อสร้างความมั่นใจในเสถียรภาพของกองทัพ เสถียรภาพอันจะเป็นเสาค้ำยันสถาบันหลักของประเทศได้เพียงไหน
โดยเฉพาะตำแหน่งที่จะปูทางเพื่อเข้าสู่ตำแหน่ง 5 เสือ ในโผโยกย้ายปลายปี หลังจากปีที่ผ่านมา บิ๊กปูมีเพียง บิ๊กรุ่ง พล.อ.ชิษณุพงศ์ รอดศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกเพียงรายเดียวเท่านั้นที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.26 ส่วนที่เหลือเป็นรุ่นพี่ทั้งสิ้น
ส่วนใครจะขยับเข้าไลน์หลัก เพื่อขยับเข้า 5 เสือ ทบ.ใครจะขยับออกจากตำแหน่งไปรับอัตราพลเอกก่อนเกษียณ และใครจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก เจ้ากรมที่ใหญ่เทียบเท่าแม่ทัพภาค และใครจะขยับขึ้นไปดำรงตำแหน่งแม่ทัพน้อยที่ 4
ซึ่งเมื่อขยับแล้ว ใครจะเข้าดำรงตำแหน่งแทนในกรมหลักที่จะขยับออก หรือขยับเข้ามาเป็นผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการหน่วยใดหน่วยหนึ่งที่จะขอขยับขึ้นเป็น พลเอก ขอยกยอดไป EP.หน้า
ใครเป็นใคร รุ่นไหนจะผงาด โปรดรอติดตาม แต่จะระทึกในฤทัยพลันหรือไม่…ต้องรอลุ้น