จับตาเส้นทาง ‘บิ๊กอ๊อฟ’ บทบาท ผอ.ศอ.ปชด.บนข้อต่ออำนาจ

5 มี.ค. 2568 - 08:37

  • ‘สัญญาณการเมืองเดือด’ ฉายภาพต่อเนื่องไปถึงภาคกองทัพ เพื่อให้จับตาบทบาท ‘บิ๊กอ๊อฟ‘ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผบ.สส.ในบทบาทใหม่ ผอ.ศอ.ปชด.บนข้อต่ออำนาจทางการเมืองที่รัฐบาลพยายามเข้าถึงและคุมหมากเดินเกมในกองทัพ ล่าสุดมอบหมายภารกิจแก้ปัญหาชายแดนทั้งประเทศที่กำลังมีหลายปัญหารุมเร้า โดยให้ ‘บิ๊กอ๊อฟ‘ เป็นคีย์แมนจัดการ จะเพื่อหวังผลเฉพาะหน้าหรือผลระยะยาวในอนาคต…ติดตามใน Deep Space ลึกกว่าที่รู้

Keep-an-eye-on-the-path-of-Big Aof-Commander-in-Chief-of-the-Armed-Forces-SPACEBAR-Hero.jpg

ในยุคของรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน เป็นยุคที่ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับกองทัพ ยังไม่ชัดเจน เพราะเป็นการกลับมาเป็นรัฐบาลครั้งแรกของพรรคเพื่อไทยในรอบ 10 ปี และยังเป็นยุคที่มีรัฐมนตรีกลาโหมมาจากนักการเมือง และไม่ได้เป็นทหารครั้งแรกในรอบ 10 ปี ครั้งนั้น ท่ามกลางแวดล้อมของผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้งหมด 

พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด หรือ ‘บิ๊กอ๊อฟ’ ทายาทคนเดียวของ ‘บิ๊กตุ๋ย‘ พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี น่าจะเป็นนายทหารเพียงคนเดียว ที่ดูเหมือน นายกฯเศรษฐา จะไว้วางใจมากที่สุด และเชิญพบเพื่อหารือ รวมทั้งมอบบทบาทสำคัญให้หลายเรื่อง 

แม้กระทั่งการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ เมื่อกลางเดือนกันยายน 2566 การประชุมที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีถูกรัฐประหาร ขณะเดินทางไปร่วมประชุม เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 แต่นายกฯเศรษฐา ก็ยังมีรายชื่อของ พล.อ.ทรงวิทย์ ร่วมคณะไปด้วย

เหตุผลที่ นายกฯเศรษฐา เลือก พล.อ.ทรงวิทย์ ร่วมคณะในครั้งนั้น ไม่น่าใช่เพราะกลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอยทักษิณ เพราะประเทศไทยในยุคปัจจุบัน การก่อรัฐประหารไม่ใช่เรื่องง่าย 

แต่เหตุผลหลักน่าจะเพราะทั้ง เศรษฐาและพล.อ.ทรงวิทย์ นอกเหนือจากการแฟนลิเวอร์พูลตัวยงทั้งคู่ยังจบการศึกษาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ต่างกันที่คนหนี่งจบด้านเศรษฐศาสตร์และการเงิน อีกคนจบด้านการทหาร 

เศรษฐา จบปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ และปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยบัณฑิตศึกษาแคลร์มอนด์ 

พล.อ.ทรงวิทย์ จบการศึกษาจากสถาบันการทหารเวอร์จิเนีย Virginia Military Instituteหรือ โรงเรียนนายร้อย VMI 

ความใกล้ชิดระหว่าง เศรษฐาและพล.อ.ทรงวิทย์ ทำให้เหมือนลดระยะห่างระหว่างกองทัพและรัฐบาลพรรคเพื่อไทยลงอย่างเห็นได้ชัด 

ว่ากันว่า นายกฯเศรษฐา สื่อสารเรื่องราวของรัฐบาล ผ่าน พล.อ.ทรงวิทย์ไปยังกองทัพหลายเรื่อง ขณะที่ พล.อ.ทรงวิทย์ ก็ใช่ช่องทางนี้สื่อสารข้อความจากกองทัพไปยังรัฐบาลในหลายประเด็นเช่นกัน 

‘บิ๊กทิน’ สุทิน คลังแสง แม้จะเป็นรัฐมนตรีกลาโหมในขณะนั้น แต่บางเรื่องการสื่อสารกับเหล่าทัพ ยังทำได้ไม่มากนัก เนื่องเพราะต่างมีกำแพงบางๆระหว่างรัฐมนตรีที่มาจากพลเรือนและเหล่าทัพ 

นอกจากนั้นในยุคของรัฐบาลนายกฯเศรษฐา บทบาทของพล.อ.ทรงวิทย์ ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก็ยังโดดเด่นยิ่ง โดดเด่นในฐานะหัวแถวของทั้ง ผบ.เหล่าทัพทั้งหมด โดดเด่นในฐานะผู้บัญชาการร่วมของทุกเหล่าทัพในสายตากองทัพประเทศมหาอำนาจ และประเทศเพื่อนบ้าน 

เมื่อสิ้นสุดรัฐบาลเศรษฐา มาเป็นรัฐบาล ‘นายกฯอิ๊งค์’ แพทองธาร ชินวัตร เมื่อต้องเปลี่ยนรัฐมนตรีกลาโหม จาก ‘บิ๊กทิน’ มาเป็น ’สหายอ้วน‘ ภูมิธรรม เวชยชัย และจำต้องมีรัฐมนตรีช่วยกลาโหมสายตรงขั้วอำนาจที่เป็นทหารอย่าง ‘บิ๊กเล็ก’ พล.อ.ณัฐพล นาควานิชย์ และเปลี่ยน 2 ผบ.เหล่าทัพ คือ ผู้บัญชาการทหารบก จาก พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ มาเป็น พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ และผู้บัญชาการทหารเรือ จาก พล.ร.อ.อะดุง พันธ์เอี่ยม มาเป็น พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์

แต่บทบาทของพล.อ.ทรงวิทย์ ในฐานะ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก็ดูเหมือนจะยังไม่เปลี่ยน เพราะ

ล่าสุด นายกฯอิ๊งค์ ก็ยังเลือกที่จะให้ความสำคัญและไว้วางใจพล.อ.ทรงวิทย์ในประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะประเด็นอ่อนไหวและละเอียดอ่อนบริเวณแนวชายแดนทุกด้านของประเทศ 

เมื่อลงนามในคำสั่งแต่งตั้ง พล.อ.ทรงวิทย์ ให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน หรือ คณะกรรมการปชด.

**คณะกรรมการ ปชด.**จะมี **ศอ.ปชด.**ที่มี พล.อ.ทรงวิทย์ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ เป็นหน่วยงานในการขับเคลื่อนภารกิจทั้งหมด 

ศอ.ปชด. นอกจากจะมีอำนาจที่จะประสานขอความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และยังสามารถตั้งกองอำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ หรือศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ ศอ.ปชด.ได้

คำสั่งรอบนี้ ส่งผลให้ ศอ.ปชด. แทบจะมีอำนาจเต็มในการบริหารจัดการสถานการณ์บริเวณชายแดนทั้งหมด ที่ล่อแหลมต่อปัญหาด้านความมั่นคง ทั้งภัยจากการสู้รบตามแนวชายแดน ภัยคุกคามจากประเทศเพื่อนบ้าน ภัยจากคอลเซ็นเตอร์ และขบวนการอิทธิพล ขบวนการผลประโยชน์ตามแนวชายแดนทั้งหมด 

แม้กระทั่งความล่อแหลม และความอ่อนไหวบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ หากมีความจำเป็น ผอ.ศอ.ปชด. ก็สามารถจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจ เพื่อดำเนินการร่วมในพื้นที่ได้ทันที 

นายกฯอิ๊งค์ ลงนามในคำสั่งนี้ท่ามกลางสถานการณ์ร้อนรอบด้านตามแนวชายแดน และก่อนเดินทางไปต่างประเทศ อันเป็นสัญญาณแห่งความไว้วางใจยิ่ง ต่อตัวพล.อ.ทรงวิทย์

ความไว้วางใจนี้ มิใช่สะท้อนความไว้วางใจจากตัวนายกฯอิ๊งค์เท่านั้น แต่ยังหมายถึงยังต้องได้รับฉันทานุมัติคนในบ้านจันทร์ส่องหล้า ทั้งตัว ทักษิณ หรือแม้แต่กระทั่งคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ ด้วย

ศูนย์อำนวยการในลักษณะนี้ในยุคของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หากเป็นด้านความมั่นคง  พล.อ.ประยุทธ์ จะลงมาเป็นผอ.ศูนย์อำนวยการด้วยตัวเอง เพราะเป็นศูนย์อำนวยการที่ต้องใช้อำนาจเต็มในการบริหารสถานการณ์สำคัญ หรือ สถานการณ์ฉุกเฉิน

ยุครัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ก็เคยใช้บริการผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาแล้วเช่นกัน เมื่อครั้งสถานการณ์การจลาจลในกรุงพนมเปญ ที่มีม็อบบุกไปเผาสถานทูตไทย และสถานประะกอบการของคนไทยในกรุงพนมเปญ

ครั้งนั้น นายกฯทักษิณ แต่งตั้งให้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ ที่มีอำนาจเต็มในการสั่งการทุกเหล่าทัพ เพื่ออพยพคนไทยออกมาจากเขมร 

บทบาทของ พล.อ.ทรงวิทย์ ในรอบนี้จึงน่าจับตาเป็นอย่างยิ่งว่า อำนาจเต็มในฐานะ ผอ.ศอ.ปชด. และเวลาที่เหลือเพียงไม่กี่เดือนก่อนเกษียณ พล.อ.ทรงวิทย์ จะขับเคลื่อนการแก้ปัญหาชายแดนรอบประเทศในทิศทางไหนหรือ ตำแหน่งนี้จะเป็นการฝึกงานในฐานะว่าที่รัฐมนตรีกลาโหมหลังเกษียณ 

แต่ที่ชัดเจนยิ่ง คือ วันนี้ พล.อ.ทรงวิทย์ ถูกมองว่า เป็นโซ่ข้อกลางระหว่างรัฐบาลและกองทัพ และเป็นกลไกสำคัญที่จะลดระยะห่างระหว่างอำนาจและพรรคเพื่อไทยลง

รวมทั้งสร้างภาพการเป็นตัวพรรคอนุรักษ์นิยมยุคใหม่…ที่ชัดเจนยิ่ง

อะไรเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ พล.อ.ทรงวิทย์ ได้รับความไว้วางใจ และมีสถานะความเป็นโซ่ข้อกลางที่สำคัญ  

นอกเหนือเป็นลูกชายคนเดียวของ ‘บิ๊กตุ๋ย‘ พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี แล้ว 

อะไรที่ทำให้ ’บิ๊กอ๊อฟ’ มีความสัมพันธ์ที่สามารถเชื่อมต่ออำนาจนอกรัฐบาลได้ 

และอะไร คือ ร.11 คอนเนคชั่น ติดตามใน EP.หน้า

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์