มหาภารตะยุทธ “ทุ่งปทุมวัน” ดูเหมือนจะใกล้ฉากจบ เมื่อมีสัญญาณพักรบจาก “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. คู่ขัดแย้งคนสำคัญ
รวมถึงมีสัญญาณทางถอยจาก ป.ป.ช. ที่มีทั้งข้อสรุปเรื่องการแจ้งบัญชีทรัพย์สินของ “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.
และการปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวของ “บิ๊กกุ่ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ที่ยืนกรานไม่ส่งสำนวนคดีฟอกเงินจากเว็บพนันออนไลน์ BNK Master คืนให้กับกองบัญชาการตำรวจนครบาลตามคำขอ

“ใครมีหน้าที่อะไรตามกฎหมาย ก็ทำไปตามหน้าที่นั้น ถ้าคิดว่า ป.ป.ช.ทำไม่ถูกต้อง ก็มีกระบวนการที่จะตรวจสอบ และถ้า ป.ป.ช.เห็นว่าเขาทำไม่ถูกต้อง ก็มีกระบวนการที่จะต้องตรวจสอบเช่นกัน”
สั้นๆ แต่ได้ใจความจาก “บิ๊กกุ่ย” ที่ส่งสัญญาณแรงไปถึงใครบางคนใน บช.น.
ส่วนกรณีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินของ “บิ๊กต่อ” ที่ถูกระบุว่า เจตนาปกปิดบัญชีทรัพย์สิน เนื่องจากไม่แจ้งการครอบครองบ้านที่ประเทศอังกฤษ และเป็นปมที่ก่อนนี้นักวิเคราะห์หลายคนชี้ว่า เป็นจุดตายของ “บิ๊กต่อ” นั้นก็มีสัญญาณเปิดทางให้ถอยค่อนข้างชัด
เมื่อล่าสุด นิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระบุเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2567 ว่า บัญชีทรัพย์สินของ “บิ๊กต่อ” ที่ไม่ได้ระบุถึงบ้านที่ประเทศอังกฤษนั้น เป็นการยื่นขณะที่ดำรงตำแหน่งรองผบ.ตร. เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ซึ่งเป็นการยื่นไปตามหน้าที่ที่จะต้องยื่น และจะต้องยื่นทุกๆ 3 ปี ซึ่งขณะที่เข้ารับตำแหน่ง ผบ.ตร. เมื่อปี 66 ยังไม่ครบ 3 ปีที่ต้องยื่นใหม่ เพราะเป็นการรับตำแหน่งในช่วงที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินแล้ว จึงไม่ต้องยื่นซ้ำในช่วงเวลา 3 ปี เมื่อไม่ต้องยื่นจึงไม่มีบัญชีที่ต้องเปิดเผย

ส่วนกรณีเงินกู้ 20 ล้านบาทที่ “บิ๊กต่อ” กู้เพื่อไปลงทุนและไม่มีการชี้แจงผลนั้น “นิวัตไชย” บอกว่า เป็นข้อมูลที่ยื่นเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองผบ.ตร. เมื่อปี 2565 เช่นกัน แต่กรณีนี้ หลังจาก ป.ป.ช. ขอให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ผลการลงทุนเป็นอย่างไรบ้างนั้น “บิ๊กต่อ” ได้ส่งทนายความมาขอขยายเวลา 30 วัน
ท่าทีของ ป.ป.ช.ทั้งสองประเด็นต่อจุดตายที่หลายคนชี้ตรงกันว่า “บิ๊กต่อ” จะไม่มีทางออกนั้น เป็นสัญญาณที่ชัดเกินชัดว่า นี่คือทางออกของ “บิ๊กต่อ” ที่จะเดินออกจากประเด็นนี้
และตอกย้ำคำว่า ประเทศไทยไม่มีทางตัน “เข้าทางไหน ก็ต้องออกทางนั้น” เมื่อเข้าทางป.ป.ช. ก็ต้องออกทาง ป.ป.ช. เพราะทุกระเบียบ ทุกข้อกฎหมายล้วนแต่มีข้อยกเว้น และช่องโหว่ให้ต้องศึกษา
แต่กระนั้น แม้ป.ป.ช.จะพอมีช่องให้ออก มีทางให้เดิน แต่เงื่อนไขสำคัญคือ ทางเดินนี้จะต้องไม่มีผู้มีส่วนได้เสียออกมาโต้แย้ง และจะต้องไม่มีใครออกมาร้องเรียน ทางออกถึงจะราบรื่น และไร้อุปสรรค
ซึ่งนั่นหมายถึง คู่ขัดแย้งคนสำคัญอย่าง “บิ๊กโจ๊ก” ต้องไม่หยิบยก ไม่ขยายผล ไม่จุดไฟขัดแย้งให้เพิ่มขึ้น อันเป็นที่มาของสัญญาณสงบศึกจาก “บิ๊กโจ๊ก” ที่ส่งสัญญาณเป็นครั้งที่สองมาจากจังหวัดลำปาง หลังก่อนหน้านี้ส่งสัญญาณผ่าน “หมาแก่” ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ในรายการ เจาะลึกทั่วไทย อินไซต์ไทยแลนด์ มาแล้ว

“จะคิดถึงแต่ตัวเองมานั่งอาฆาตล้างแค้นฟ้องร้องคดีกันไม่ได้ ถ้าผมได้กลับมาต้องให้เกิดความสามัคคีในหมู่คณะ นำภาพบวกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติคืนกลับมาให้ได้ เพราะประชาชนกำลังรอคอยตำรวจทำงาน”
“บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล
“ถ้าได้กลับ ใครจะเลิกไม่เลิกก็แล้วแต่ สำหรับผมถอนฟ้องทั้งหมด แล้วผมกลับมาทำงานไม่ใช่กลับมาหาเรื่อง มาเข่นฆ่ากันก็ไม่ต้องกลับมาดีกว่า ไม่มีประโยชน์”
“บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล
ทั้งสองประเด็น เป็นท่าทีในการให้สัมภาษณ์รายการเจาะลึกทั่วไทยในวันนั้น อันเป็นท่าทีที่หลายคนบอกว่า “บิ๊กโจ๊ก” คนเดิมกลับมาแล้ว กลับมาเป็น “โจ๊กหวานเจี๊ยบ” คนเดิม ไม่ใช่ “บิ๊กโจ๊ก” คนที่เอะอะ ก็เดินหน้าท้าชน และมีท่าทีที่แข็งกร้าว
นอกจากนั้นแนวทางนี้ยังเป็นแนวทางที่ผู้ใหญ่ซึ่ง “บิ๊กโจ๊ก” ให้ความเคารพเคยเตือนว่า “โจ๊กเอ๊ย จบได้ก็ต้องจบ ถอยได้ก็ต้องถอย เอ็งจะไปสร้างศัตรูทุกทิศ มันไม่ได้”

ยิ่งเมื่อ “บิ๊กกุ่ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.ยืนยันไม่คืนสำนวนคดีฟอกเงินให้กับ บช.น. อันทำให้ทุกคดีของ “บิ๊กโจ๊ก” ยังคงอยู่ในการพิจารณาของป.ป.ช. ก็ยิ่งทำให้ “บิ๊กโจ๊ก” ยิ่งต้องรู้จัก “จบ” และ “รู้จัก “ถอย”
แต่กระนั้น เพียงแค่ “จบ” และ “ถอย” ดูเหมือนยังไม่เพียงพอสำหรับความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะ “บิ๊กโจ๊ก” อาจต้องทยอยดับไฟขัดแย้งกองเล็กๆ อีกหลายกอง
ไฟกองที่ทั้งตั้งใจ และไม่ตั้งใจทำให้เกิด แต่กองไฟกองเล็กๆ ทั้งหมด หากไม่ทยอยดับ หากไม่ทยอยเคลียร์
“ไฟกองเล็ก” ก็อาจจะขยายขึ้นเป็นไฟกองใหญ่ได้อีกครั้ง…
ส่วนไฟกองไหนต้องทยอยดับไปก่อน คนที่รู้ดีที่สุดก็มีเพียง “บิ๊กโจ๊ก” เท่านั้น และจะต้องจำคำพูดสำคัญที่ยืนยันว่า
“ผมกลับมาทำงานไม่ใช่กลับมาหาเรื่อง มาเข่นฆ่ากัน ก็ไม่ต้องกลับมาดีกว่า ไม่มีประโยชน์”