การเมืองไทยหลังรัฐประหาร รสช. เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน มีคำพูดติดหูอยู่คำหนึ่งว่า
‘สุ ไม่เอา ก็ให้เต้ เต้ ไม่เอา ก็ให้ตุ๋ย’
มาวันนี้ มีคำพูดทีเล่นทีจริงว่า ‘ถ้าไม่เอา อุ๊งอิ๊ง หรือจะเอา โอ๊ค’ กลายเป็นตลกฝืดของการเมืองไทย พ.ศ.นี้
แต่ทันทีที่ชื่อนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 ถูกเปลี่ยนจาก ‘ชัยเกษม นิติสิริ’ มาเป็น ‘แพทองธาร ชินวัตร’ ในชั่วเวลาเพียงข้ามคืนก่อนหน้าวันลงมติของสภาผู้แทนราษฎรไม่กี่ชั่วโมง
ทำให้คำว่า นายกฯ ‘ขัดตาทัพ’ กลายเป็นตัวจริงเสียงจริงในบัดดล
ส่วนการเปลี่ยนชื่อที่ว่านั้น ไม่ว่าจะเกิดจากเหตุผลใด จากแรงบีบให้ ‘ทิ้งไพ่ใบสำคัญ’ ที่เป็นใบสุดท้ายในมือ เพื่อบังคับให้เดินเข้าสู่ทุ่งสังหารทางการเมืองอย่างที่คาดการณ์กัน หรือเป็นการตัดสินใจแบบเทหมดหน้าตักเองของ ทักษิณ ชินวัตร
งานนี้ไม่ว่าจะถูกบีบบังคับหรือไม่ แต่มันเป็นเพียงทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ของตระกูลชินวัตร
ทีนี้้มาถึงคำถามสำคัญที่จั่วหัวไว้ รัฐบาล ‘อุ๊งอิ๊ง’ จะอยู่ได้กี่เดือน จะนั่งยาวไปจนครบเทอม เท่ากับเวลาที่เหลืออยู่ของสภาชุดนี้ 2 ปี 11 เดือนเลยหรือไม่ ซึ่งหากไม่ได้เข้ามาเพื่อขัดตาทัพ ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น
แต่การเมืองไม่ใช่จะออกแบบล่วงหน้ากันยาว ๆ ได้เพราะสมัย ทักษิณ ชินวัตร ก็เคยประกาศจะอยู่เป็นรัฐบาลบริหารประเทศไปนานถึง 20 ปีเหมือนกัน สุดท้ายก็ทำไม่ได้
ดังนั้น การที่รัฐบาลอุ๊งอิ๊ง จะอยู่ได้นานขนาดไหน คงขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วยกัน อย่างแรกเลย คือ โฉมหน้าครม.ชุดใหม่ ต้องดูว่าหน้าตาจะออกมาหล่อเหลา เป็นมืออาชีพ หรือมีแต่พวก**‘เขี้ยวลากดิน’** นักการเมืองสีเทา ตัวแทนบ้านใหญ่ ต่างตอบแทน แบ่งเค้ก แจกโควต้ากันมา
เป็นสมบัติผลัดกันชม ก๊อปปี้รัฐบาลเศรษฐามาทั้งดุ้น
ถ้าครม.ใหม่คลอดออกมาแล้ว มีแต่ความอัปลักษณ์อย่างว่า คงอยู่ได้ไม่นาน 3 เดือน 6 เดือน ถ้ารอดไปได้ก็นับว่าเป็นบุญ หรือจะอยู่ไปยาว ๆ เพราะสังคมไทยเดินมาถึงจุดที่ชอบเรียกกันว่า ‘มีเงินก็จ้างผีโม่แป้งได้’ ก็ต้องรอดูกันไป
แต่เอาเถอะ เมื่อถึงขั้นยอมส่งลูกสาวขึ้นเวทีเอง หลายคนก็เชื่อว่า ‘ทักษิณ’ ที่ได้ใบบริสุทธิ์ก่อนเวลาอันควร ทันได้ใส่ชุดขาวเข้าร่วมพิธีสำคัญของลูกสาวพอดี คงลงมาคุมเองตั้งแต่การจัด ครม.ใครจะอยู่ตรงไหน และเป็นตัวจริงเสียงจริงในรัฐบาลจันทร์ส่องหล้าด้วยซ้ำ ส่วนอุ๊งอิ๊ง ก็ทำหน้าที่ในเชิงสัญลักษณ์ไป
แม้ทักษิณจะออกปากบอกสื่อไปจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวและไม่รับตำแหน่งใด ๆ ก็ตาม
ต่อจากนี้ภารกิจสำคัญของรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง ที่ต้องเร่งทำก่อนเป็นอันดับแรก คือ ‘กอบกู้’ ชื่อเสียงความเป็นมือเศรษฐกิจกลับมา เพราะในช่วงรัฐบาลเศรษฐา ถือว่าเพื่อไทยมือตกอย่างมาก ทั้ง ๆ ที่โฆษณาเอาไว้ คิดใหญ่ ทำเป็น แต่กลับทำผิดฝาผิดตัวตลอดในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา
งานนี้ต้องรีบทำตามคำพูดทักษิณประกาศไว้ที่ จ.สุรินทร์ ช่วงก่อนเข้าพรรษาโดยเร็วที่ว่า หลังเดือนสิงหาคมไปแล้วจะได้เห็นผลงานรัฐบาลที่จับต้องได้ ดังนั้น ค่าไฟฟ้า น้ำมันต้องลดราคา เงินหนึ่งหมื่นบาท ต้องแจกทันทีอย่าได้ชักช้า
เพราะถึงเวลาต้องโปรยทานทางการเมือง สร้างกุศลใหญ่ ให้เป็นสิริมงคลกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 31
สุดท้าย รัฐบาลอุ๊งอิ๊งจะอยู่ได้สั้นยาวขนาดไหน คงขึ้นอยู่กับวัตรปฏิบัติของรัฐบาลว่า จะ ‘สะดุด’ ขาตัวเอง ทำอะไรที่สุ่มเสี่ยง นำไปสู่การจุดกระแสความไม่พอใจให้กับประชาชน โดยเฉพาะการควบคุมอารมณ์ของคนที่เป็นผู้นำ ต้องไม่ใจร้อน ลุแก่โทสะเหมือนกับ ‘ลุงฉุน’ หยุมหัวสื่อในวันก่อน
ถ้าทำแบบที่ว่ามาข้างต้น รับรองได้อยู่ไปจนครบเทอมแน่ เพราะ ‘ฝ่ายค้านวัยใส’ ที่มีผู้นำอยู่ในวัยเดียวกับนายกรัฐมนตรี คงไม่มีปัญญาไปล้มรัฐบาลได้ อย่างมากก็ทำได้แค่ประดิษฐ์คำสวยๆ มาอภิปรายในสภาเท่านั้น
เพราะในสายตาของนักธุรกิจเอง ก็มองรัฐบาลชุดนี้ว่ามาจากกลุ่มเดิม สคริปท์เดิม คนเขียนบทคนเดิม เปลี่ยนแต่ตัวผู้เล่นคนใหม่ ดังนั้น คงไม่มีอะไร ‘แย่’ ไปกว่าเดิมอีก
เว้นแต่จะสะดุดขาตัวเองล้มลงเสียก่อนเท่านั้น
