มหากาพย์ศึกสีกากี อาจพักยกชั่วคราวช่วงสงกรานต์ เพราะวันหยุดยาวติดกันหลายวัน ทั้งวันหยุดชดเชยวันจักรี และชดเชยวันสงกรานต์
แต่ภายใต้ความสงบ ก็ยังมีคลื่นใต้น้ำที่กระเพื่อมหนัก
ศึกอภิปรายทั่วไป โดยไม่ลงมติ การเมืองอาจไม่บอบช้ำ แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติบอบช้ำอย่างหนัก
หนักถึงขั้นที่ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ใช้ข้อความค่อนข้างดุเดือด ส่งสัญญาณไปยังผู้ใต้บังคับบัญชา ตั้งแต่จเรตำรวจแห่งชาติ, รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, รองจเรตำรวจแห่งชาติ, ผู้บัญชาการ, ผู้บังคับการ และหัวหน้าสถานีตำรวจ ให้ทำงานหนักและจริงจังในทุกคดี และใช้กฏหมายในมืออย่างเข้มงวด ลงโทษเด็ดขาด ยึดทรัพย์ ในคดีที่เกี่ยวกับทรัพย์แบบไม่เห็นแก่หน้าอินทร์หน้าพรหม
เพื่อให้หลุดพ้นจากยุคคำกล่าวหาที่ว่า “ตำรวจถึงยุคตกต่ำที่สุด” และคำประณามที่กล่าวหาว่า “ตำรวจเป็นอาชีพที่ไม่ต่างอะไรจากโจร”
หลุดจากความรู้สึกที่ “บิ๊กต่าย” บอกว่า “ในฐานะที่เป็นตำรวจคนหนึ่ง มันเจ็บปวดแสนสาหัสกับประโยคเหล่านี้อย่างที่สุด”
ทั้งหมดเป็นประกาศิตที่ “บิ๊กต่าย” ซึ่งวันนี้บารมีเริ่มแจ่มจรัสขึ้นทุกวัน ประกาศว่าเป็นภารกิจหลักที่ต้องทำให้สำเร็จ เพื่อเรียกคืนศรัทธาและความเชื่อมั่นของตำรวจกลับมาให้ได้
ท่าทีเอาจริงของ “บิ๊กต่าย”ส่อให้เห็นว่า เป็นสัญญาณที่เขาเชื่อว่า จะได้อยู่ต่อในฐานะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนต่อไป
เพราะไม่เช่นนั้นเวลาที่เหลือไม่กี่เดือน ไม่มีวันที่ Mission จะ Complete
อะไรเป็นเหตุให้ “บิ๊กต่าย” มั่นใจเช่นนั้น
แน่นอนว่า ต้องมีสัญญาณแรงๆ บางอย่างส่งมา
สัญญาณที่เป็นอาณัติให้ “บิ๊กต่าย”ใช้เวลา 2 ปีที่เหลือกอบกู้ศักดิ์ศรีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สัญญาณที่บอก “บิ๊กต่าย” ว่าคู่แคนดิเดตสำคัญอย่าง “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.อาวุโสอันดับหนึ่ง คงกลับมาไม่ทันการแต่งตั้งโยกย้ายใหญ่ในเดือนตุลาคมที่จะถึง
สัญญาณที่บอกว่า “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.ซึ่งไปช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ไม่น่าจะได้กลับมาเป็นองค์ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือก.ตร. เพื่อลงมติเลือกผบ.ตร.คนใหม่
สัญญาณที่ทำให้ “บิ๊กต่าย” พลิกสถานการณ์ขึ้นมาเป็นเต็งหนึ่งในฐานะ ผบ.ตร.คนใหม่ ทั้งที่ก่อนนี้เป็นแคนดิเดตอันดับ 3 โดย “บิ๊กโจ๊ก” อาวุโสอันดับหนึ่งเป็นเต็งหนึ่ง และพล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รองผบ.ตร.อาวุโส อันดับ 3 เป็นเต็งสอง
นอกเหนือจากสัญญาณในฐานะที่เคยเป็นน้องรักของอดีตผบ.ตร. “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข เพราะ “บิ๊กต่าย” ถือเป็นหนึ่งในทีมนักสืบนครบาล ที่เป็นลูกศิษย์สายตรงของ “บิ๊กปั๊ด”มาก่อน
ข้อความที่ส่งต่อออกไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมด จึงมีนัยยะยิ่งว่า นี่คือสารจากว่าที่ผู้นำสตช.คนใหม่ที่จะใช้เวลา 2 ปีนับจากนี้ กอบกู้และทวงคืนศักดิ์ศรีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ตกต่ำจนถึงขีดสุดให้ฟื้นกลับมาอีกครั้ง
ส่วนมหากาพย์สีกากีที่ยังคุกรุ่น และยังเป็นคลื่นสึนามิใต้น้ำ ระหว่างกลุ่มของ “บิ๊กโจ๊ก” และกลุ่มของ “บิ๊กเต่า” พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว วันนี้แม้จะยังดูเงียบสงบ แต่ก็มีแนวโน้มจะปะทุขึ้นมาใหม่
แม้จะมีความพยายามจากหลายฝ่ายที่จะยุติศึก เพราะเกมนี้ไม่ว่า ใครแพ้ หรือใครชนะ สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ปี้ป่นอยู่ดี
แต่ดูเหมือนคู่กรณีทุกฝ่าย ยังไม่มีใครยอมใคร เพราะเดิมพันของคดี คือ ฝ่ายหนึ่งอยู่ ฝ่ายหนึ่งต้องไป
ความหนักหน่วงของเกมครั้งนี้ บีบคั้นทุกคนที่อยู่ในเกมจน พ.ต.อ.สุรเดช ฉัตรไทย ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลเตาปูน เจ้าของคดีเว็บ BNK มาสเตอร์ ที่กำลังจะเกษียณอายุในเดือนกันยายนปีนี้ ถึงกับเตรียมจะยื่นจดหมายลาออกจากราชการก่อนกำหนด เพราะทนแรงกดดันไม่ไหว
แม้ที่สุด พ.ต.อ.สุรเดช จะยอมเปลี่ยนใจ หลังพล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 เรียกไปพบ และพูดคุยจนตัดสินใจอยู่ทำงานต่อ แต่ก็สะท้อนชัดถึงความลำบากใจของคนทำงานที่ตกท่ามกลางความขัดแย้งของผู้บังคับบัญชา
ก่อนการอภิปรายทั่วไป โดยไม่มีการลงมติ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ถึงกับต้องเดินทางไปรับฟังบรรยายสรุปที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) เพื่อรับฟังปัญหาทั้งหมดจากปากของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการ สอท.
แม้ฝ่ายค้านจะตั้งข้อสังเกตว่า นายเศรษฐาไปรับบรีฟจากตำรวจไซเบอร์ เพราะข้อสอบรั่ว และไปเพื่อเตรียมข้อมูลโต้ตอบกับฝ่ายค้าน
แต่ทางลึกหลายคนรู้ดีว่า นายเศรษฐาไปรับฟังข้อมูล เพื่อยุติปัญหาในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้บังคับบัญชาโดยตรง ไปเพื่อหาทางให้ทุกเรื่องจบลงแบบไม่มีผู้แพ้ ไม่มีผู้ชนะ
เพราะศึกสีกากีรอบนี้ ปะทุและขัดแย้งขึ้นเพราะปัจจัยหลายอย่างในกองบัญชาการแห่งนี้ ข้อมูลคดี เส้นทางเงิน เครือข่ายพนันออนไลน์ทั้งหมด เป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ที่พร้อมจะดับอนาคตใครบางคน หากข้อมูลทั้งหมดถูกเปิดเผย
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เองก็พยายามดับไฟกองนี้ พยายามยุติข้อขัดแย้ง ก่อนเกษียณอายุราชการในปีนี้ แต่เหมือนคำพูดของ “บิ๊กต่อ” จะไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่เหมือนวันที่มีบารมีรุ่งโรจน์ในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หรือในฐานะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
คำพูดในวันที่เหลืออายุราชการไม่กี่เดือน และไม่อยู่ในฐานะแม่ทัพสีกากี ไม่มีน้ำหนักพอที่จะหยุดความเคลื่อนไหวของคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่าย
ตรงกันข้ามชะตากรรมของ “บิ๊กต่อ” วันนี้ ยังขึ้นอยู่กับผลการสอบสวนของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงว่า จะออกมาในทิศทางไหน จะมีผลออกมาเช่นเดียวกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่พล.ต.อ.วินัย ทองสอง หนึ่งในคณะกรรมการออกมาบอกว่า คดีมีมูลหรือไม่
เพราะถ้าผลเป็นเช่นเดียวกัน ไม่เพียง “บิ๊กต่อ” จะไม่ได้กลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเท่านั้น แต่จะส่งผลถึงเส้นทางหลังเกษียณอายุราชการของ “บิ๊กต่อ” อีกด้วย
ส่วนชะตากรรม “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. แม้ผลการสอบสวนเบื้องต้นของคณะกรรมการจะระบุว่า “คดีมีมูล” แต่คนวงในกลับเชื่อว่า มีผลแค่ทำให้บิ๊กโจ๊กหลุดวงโคจรแคนดิเดต ผบ.ตร.ในปีนี้เท่านั้น
แต่ด้วยอายุราชการที่เหลืออีกหลายปี ความสัมพันธ์พิเศษบางอย่าง และข้อมูลเส้นทางการเงินที่เชื่อว่า จะไปไม่ถึง
“บิ๊กโจ๊ก” ยังมีโอกาสที่จะกลับมายังสำนักตำรวจแห่งชาติได้อีก เพราะหาก “บิ๊กต่าย” ขึ้นเป็นผบ.ตร.รอบนี้ “บิ๊กโจ๊ก” ก็มีเวลาถึง 2 ปี ที่จะกลับมาชิงตำแหน่งผบ.ตร.อีกครั้ง แค่ทำใจให้ได้ และแค่รอให้เป็น
เดิมพันความขัดแย้งครั้งนี้ จึงดูเหมือน “บิ๊กต่อ” จะมีแต้มต่อน้อยกว่า “บิ๊กโจ๊ก”
ฉะนั้น ทางเดียวที่จะทำให้ทุกอย่างยุติ และจบแบบ Happy Ending คือ ต้องมีผู้มากบารมี หนี่งคนที่สำคัญ คือ ต้องเป็นคนที่พูดแล้วต้องจบ ลงมาเคลียร์มหากาพย์สีกากีรอบนี้อย่างเร่งด่วน ก่อนที่ทุกๆอย่างจะสายไป
อาจมีคนต้องเจ็บบ้าง แต่ถ้าภาพรวมรอด องค์กรรอด ก็เชื่อว่า ทุกฝ่ายก็น่าจะพร้อมที่จะยุติ และนำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินออกจากยุคที่ “บิ๊กต่าย” บอกว่า “เป็นยุคที่ตำรวจถึงยุคตกต่ำที่สุด”
และหลุดจากคำประณามที่กล่าวหาว่า “ตำรวจเป็นอาชีพที่ไม่ต่างอะไรจากโจร”