เห็นถามไถ่กันในหลาย ๆ วงว่า ระหว่างคดียุบพรรคก้าวไกล กับการถอดถอนนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน คดีไหนจะจบก่อนกัน เพราะศาลรัฐธรรมนูญ นัดพิจารณาต่อด้วยกันทั้งคู่ ต่างกันตรงที่รายละเอียดถี่ห่างไม่เท่ากันเท่านั้น
โดยคดีพรรคก้าวไกล มีรายละเอียดมากกว่า กล่าวคือ แม้จะให้เวลาสั้น ๆ แค่ 7 วัน สำหรับให้บุคคลที่อยู่ในบัญชีพยาน ทำบันทึกถ้อยคำตามประเด็นที่ศาลกำหนด ยื่นเสนอต่อศาล ซึ่งไม่รู้จะมีจำนวนกี่คนกันแน่
แต่ศาลยังมีคำสั่งให้นำพยานเอกสารในสำนวนการไต่สวนคดีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ซึ่งก็คือคดีมาตรา 112 ที่ศาลได้ตัดสินไปในวันที่ 31 มกราคม 2567 มารวมไว้ในสำนวนคดีนี้ เพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญด้วย
ฟังดูก็น่าระทึกแทนไม่น้อย เพราะเป็นหลักฐานที่ศาลเคยใช้ตัดสินพรรคก้าวไกล คดีมาตรา 112 ฐาน "เซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน" มาแล้ว จนถูกนำมาเป็นสารตั้งต้นร้องยุบพรรคก้าวไกลในคดีนี้
นอกจากสองประเด็นข้างต้นแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญ ได้นัดพิจารณาคดียุบพรรคก้าวไกลต่อในวันพุธที่ 3 กรกฎาคม 2567 พร้อมกำหนดให้คู่กรณีเข้ามาตรวจพยานหลักฐานในวันอังคารที่ 9 กรกฎาคม 2567 ด้วย
ดูเหมือนจะยังมีการนัดหมายต่อไปอีกแบบยาว ๆ
ในขณะที่คดีถอดถอนนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน แม้ศาลจะให้เวลามากถึง 15 วัน ในประเด็นเดียวกัน คือ ให้หน่วยงานหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง จัดทำความเห็นและจัดส่งสำเนาเอกสารหลักฐานตามประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดเช่นกัน และนัดพิจารณาต่อในวันพุธที่ 10 กรกฎาคม 2567
ทั้งสองคดี เป็นการนัดพิจารณาต่อที่ยังไม่มีข้อความว่า "กำหนดนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือและลงมติ" ปรากฎต่อท้ายในวันนัดหมายพิจารณาคดี ที่หมายถึงการตัดสินคดี
เมื่อพิจารณาการนัดหมายแบบนี้ นักสังเกตการณ์ทางการเมืองมองว่า ด้านหนึ่ง ยังต้องการเปิดพื้นที่แสวงหาข้อเท็จจริง โดยเฉพาะพรรคก้าวไกลที่อยากให้ศาลออกนั่งบัลลังก์เปิดการไต่สวน จะได้นำเสนอพยานหลักฐานต่าง ๆ มาหักล้างข้อกล่าวหาได้เต็มที่
แต่อีกด้าน เมื่อพิจารณาจากเดือนกรกฎาคม ซึ่งอยู่ในห้วงเวลาสำคัญของคนไทยทั้งประเทศแล้ว ศาลคงต้องการให้ผ่านเดือนนี้ไปก่อน เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ใด ๆ ที่จะเป็นผลข้างเคียงจากคำวินิจฉัย จึงทำให้การนัดหมายยังมีนัดต่อ ๆ ไปอีก
เพราะทั้งสองคดีถ้าผลออกมาไม่เป็นบวก ย่อมเกิดผลกระทบมากน้อยแตกต่างกันไปในห้วงเวลาที่มีคำตัดสิน
ทีนี้เมื่อผ่านเดือนกรกฎาคมไปแล้ว ซึ่งเป็นไปตามการคาดหมายของ ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่คาดคะเนว่าการตัดสินคดีคงจะมีขึ้นในราวเดือนสิงหาคม ไม่ใช่ในเร็ววันนี้แน่
คำถามคือ แล้วคดีไหนจะตัดสินก่อนหลัง เหมือนที่ถามไถ่กันอยู่เวลานี้ ซึ่งคงเป็นเพราะอยากเห็นความชัดเจนทางการเมือง ไม่อยากให้อึมครึม จนมีผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยนานเกินไป
ส่วนคดีไหนจะตัดสินก่อนหลัง นาทีนี้ถ้าวัดจากพยานหลักฐานต่าง ๆ ข้างต้น ที่ศาลท่านให้คู่กรณีจัดทำความเห็นและเสนอบันทึกถ้อยคำต่อศาลแล้ว คดียุบพรรคก้าวไกล ที่มีรายละเอียดค่อนข้างมาก น่าจะใช้เวลาพิจารณานานกว่าคดีของนายกรัฐมนตรี
แต่คงไม่ถึงกับทิ้งระยะห่างกันมากนัก ซึ่งหากว่ากันตามเนื้อผ้าล้วน ๆ ไม่เกี่ยวกับผลของคดีที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใดทางการเมือง โดยเฉพาะใครที่หวังจะช้อนซื้อ สส.สีส้ม มาเพิ่มพลังต่อรองให้กับตัวเอง ในวันที่ผึ้งแตกรัง
หากตัดปัญหาการเมืองออกไป คดีนายกรัฐมนตรี ที่ไม่มีอะไรซับซ้อน รอเพียงให้ผ่านพ้นวันสำคัญในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ไป พอเข้าสู่เดือนสิงหาคมก็น่าจะนัดหมายวันตัดสินได้ก่อน ส่วนคดีพรรคก้าวไกล คงต้องให้เลยกลางเดือนสิงหาคมไปแล้ว
แต่การเมืองวันนี้ ยังอยู่บนความไม่แน่นอน แม้ศึกสองบ้านระหว่างบ้านป่ากับบ้านจันทร์ส่อหล้า จะซา ๆ ลงไปบ้าง
ซึ่งงานนี้ไม่ว่าจะเป็นสงครามสั่งสอนหรือเพื่อรักษาป้อมค่าย ไม่ให้ถูกขับออกจากการร่วมรัฐบาลก็ตาม แต่การออกมาปรากฏตัวแบบถี่ ๆ ของ "นายน้อย" ว่าที่ผู้นำคนใหม่ในระยะนี้ ถูกมองเป็นการเร่งปั้นผู้นำคนใหม่ ไว้รองรับสถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอน
สุดท้ายทั้งสองคดี ไม่ว่าจะถูกนำไปเชื่อมโยงในทางการเมืองอย่างไรก็ตาม แต่ด้วยเนื้อหาที่แตกต่างกัน เชื่อว่าคดีถอดถอนนายกรัฐมนตรี น่าจะมีโอกาสปิดจบได้ก่อนคดียุบพรรคก้าวไกล