หลังมีนักร้องนิรนาม ไปยื่นร้องยุบพรรคเพื่อไทย ต่อ กกต.ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเอาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 17/2567 กรณีสอย เศรษฐา ทวีสิน ตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรี มาเป็นสารตั้งต้น เพราะมีเนื้อหาพาดพิงถึงบุคคลอื่นเข้ามามีอำนาจเหนือพรรค
สูตรเดียวกับที่มีผู้นำคำวินิจฉัยคดีมาตรา 112 มาเป็นสารตั้งต้นยื่นร้องยุบพรรคก้าวไกล
แต่ถี่ห่าง ต่างกันตรงที่ กรณีพรรคเพื่อไทย เกิดขึ้นหลังมีคำท้าทายจาก ทักษิณ ชินวัตร **‘กวัก’**มือเรียกใครต่อใครให้ไปยื่นร้องหลายครั้ง แถมกล่าวคำสบประมาทตามมาอีกต่างหาก ถ้าจะร้องต้องร้องให้เสียงดัง ๆ ด้วย
แค่นั้นไม่พอ ทักษิณยังไปสำทับซ้ำบนเวทีแสดงวิสัยทัศน์อีก เดี๋ยวนี้มีอาชีพใหม่เกิดขึ้นในบ้านเรา คือ ‘นักร้อง’ แต่ไม่มีรางวัลแผ่นเสียงทองคำให้
จนเป็นที่มาของการร้องยุบพรรคเพื่อไทยในที่สุด
ไม่แน่ใจว่า เป็นเพราะอารมณ์แบบปากกล้า ขาสั่น หรืออย่างไร จึงทำให้ทักษิณ พูดจากับสื่อด้วยน้ำเสียงอีกแบบหนึ่งในเวลาต่อมาว่า ‘เรื่องไม่เป็นเรื่อง’ ขณะที่คนในเพื่อไทย ก็ออกมาพูดถึงผู้ร้องยุบพรรคเช่นกันว่า อย่าทำให้บ้านเมืองต้องเสียโอกาสในการแก้ไขปัญหามากมายที่รออยู่
ล่าสุดในการเดินทางไปให้กำลังใจผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ จ.เชียงราย ไม่ว่าจะเป็นเพราะเริ่มตั้งการ์ดสูงขึ้น หรือเพราะเกรงไป **‘บดบังรัศมี’**ความเป็นผู้นำของลูกสาวที่เป็นนายกรัฐมนตรีมากไป ทักษิณจึงเริ่มระมัดระวังคำพูดมากขึ้น เช่น บอกกับชาวบ้านที่ไปพบว่า
‘จะนำปัญหาที่ได้รับฟังไปแจ้งรัฐบาล’
หรืออีกบางข้อความที่ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเรื่องสถานการณ์น้ำในปีนี้ว่า
‘นางสาวแพทองธาร เล่าให้ฟังว่า กรมชลประทาน พร่องน้ำภาคกลางไว้รองรับน้ำเหนือแล้ว เช่น เชื่อนเจ้าพระยา เขื่อนป่าสัก มีน้ำเหลือเพียง 20% เพียงพอรับน้ำได้อีกมาก เชื่อว่าจะไม่ซ้ำรอยปี54’
ไม่ว่าการระมัดระวังคำพูดดังกล่าว จะเกิดจากเหตุผลใดก็ตาม แต่คำร้องยุบพรรคเพื่อไทย ได้เข้าสู่สาระบบของกกต.ไปแล้ว และตามข่าวอาจไม่มีแค่คำร้องเดียว แต่จะมีนักร้องระดับแถวหน้าของเมืองไทยบางรายไปยื่นร้องเพิ่มอีก
เอาเป็นว่า จะมีหรือไม่มีใครไปร้องเพิ่มก็ตาม กกต.ก็ต้องนำคำร้องดังกล่าวเข้าสู่ระบบการตรวจสอบ ซึ่งไม่ใช่เป็นบัตรสนเทห์ หรือเพราะความปรากฎ เนื่องจากผู้ร้องมีตัวตน เพียงแต่ไม่ขอเปิดเผยตัว ด้วยเกรงจะได้รับอันตรายจากอิทธิพลบารมีของผู้ที่ถูกร้อง
แต่เนื่องจากเป็นการร้องตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา 93 ไม่ใช่ มาตรา 92 ตามที่มีผู้ร้องยุบพรรคก้าวไกล ดังนั้น จึงต้องใช้เวลาในการไต่สวน จนกว่าจะมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ากระทำความผิด ถึงจะมีมติส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมือง
อันต่างจากคำร้องตามมาตรา 92 กรณียุบพรรคก้าวไกล ที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า ‘เมื่อคณะกรรมการมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น’
คำว่า หลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ในกรณีของพรรคก้าวไกล ณ เวลานั้น คือ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในความผิดล้มล้างการปกครอง คดีมาตรา 112 ที่เป็นสารตั้งต้นชัดเจน
แต่กรณีคำวินิจฉัยที่สอยนายกฯ เศรษฐา เป็นการเชื่อมโยงแบบวิถีโค้ง และนำไปประกอบกับพฤติกรรมต่าง ๆ ในหลายเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น จึงเป็นการร้องคนละมาตรากับการยุบพรรคก้าวไกล
เพราะฉะนั้น กระบวนการไต่สวนที่กว่าจะมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า คงจะต้องใช้เวลาพอสมควร โดยบางคนนำไปเทียบเคียงกับคำร้อง ‘ยุบพรรคภูมิใจไทย’ ที่ถูกร้องในเวลาใกล้เคียงกับพรรคก้าวไกล แต่จนถึงขณะนี้ กกต.ยังไม่มีมติใด ๆ ออกมา
ทั้ง ๆ ที่ประเด็นคำร้องยุบพรรคภูมิใจไทย มีประเด็นเริ่มต้นจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเช่นกัน กรณีให้ ‘ศักดิ์สยาม ชิดชอบ’ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ณ เวลานั้น สิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีลงเฉพาะตัว สืบเนื่องจากการถือ ‘หุ้นนอมินี’ ใน หจก.บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น จำกัด และพรรคภูมิใจไทย ก็รับเงินบริจาคมาจาก หจก.บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น อันนำไปสู่การถูกร้องเข้าข่ายการรับเงินที่ไม่ถูกต้อง
ดังนั้น เมื่อเทียบกับกรณีพรรคภูมิใจไทย ทำให้หลายคนเชื่อว่า ด้วยเหตุผลประการทั้งปวง ก็คงทำให้การสืบเสาะแสวงหาหลักฐานข้อเท็จจริงต่าง ๆ ในคำร้องยุบพรรคพรรคเพื่อไทย ก็อาจต้องใช้เวลาอีกนานเช่นกัน
ส่วนจะนานขนาดไหนนั้น มีเส้นเวลาให้เทียบระหว่างคดีนี้กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญบางฉบับที่จะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ที่รัฐบาลและฝ่ายค้าน ต่างเห็นตรงกันให้ทบทวนเรื่องการยุบพรรคและมาตรฐานจริยธรรมเสียใหม่
รอดูว่าอย่างไหนจะจบก่อนกัน?!
สุดท้ายหากมีการตัดปมยุบพรรคออกไปเสียก่อน ก็คงเจ๊ากันไป ในขณะที่มีบางคน ‘ปรามาส’ ด้วยซ้ำว่า อาจได้เห็นการเลือกตั้งครั้งใหม่มาถึงก่อนคดียุบพรรคเพื่อไทยจะจบลงเสียอีก จึงป่วยการไปคาดเดาผลว่า งานนี้จะนำไปสู่การ ‘ยุบพรรคคำรบสาม’ จนนำไปสู่การตายยกรังหรือเปล่า
พรุ่งนี้ ไม่ว่าสองเรื่องข้างต้นเรื่องไหนจะมาถึงก่อนกัน แต่ที่แน่ ๆ เรื่องยุบพรรคเพื่อไทย คงต้องใช้เวลาอีกยาว ๆ ไป