ในขณะที่สงครามสยบฝ่ายแค้น ผ่านการเปิดคลิปเสียงชุดแล้วชุดเล่ากำลังดำเนินไป โดยจับการเมืองที่อยู่ในมุมมืดออกมาเปลือยล่อนจ้อนให้สังคมได้เห็นว่า ใครมีพฤติกรรมอย่างไร และไปทำอะไรเอาไว้บ้าง
เป้าหมายเพื่อเปิดโปงพฤติกรรม ทำลายความน่าเชื่อถือ รวมทั้ง หยุดยั้งแผนการต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่าง ‘ส้องสุม’ ผู้คนเตรียมการก่อ ‘นิติสงคราม’ เอาคืนรัฐบาลที่ฝังรอยแค้นไว้
แต่บังเอิญถูกอีกฝ่ายชิงลงมือก่อน เลยไม่รู้จะทำให้สยบฝ่ายแค้นได้ หรือยิ่งไป ‘สุมเพลิงแค้น’ เพิ่มมากขึ้น
เรื่องนี้หากเป็นการห้ำหั่นกันเองของฝ่ายการเมืองด้วยกัน ก็คงไม่มีอะไรซับซ้อน โดยเฉพาะประเด็นเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ กับนักการเมืองถือเป็นเรื่องปกติ ที่วิญญูชนต่างรับรู้เป็นการทั่วไปอยู่แล้ว
บังเอิญมี ‘สื่อ’ เข้าไปอยู่ในสมรภูมิรบนี้ด้วย จากการนำคลิปเสียงที่เป็นข่าวมานำเสนอแบบมีจังหวะจะโคน จึงถูกสังคมตั้งคำถามว่า กระทำในฐานะสื่อที่เป็น**‘กระจก’สะท้อนสังคม ในฐานะ‘หมาเฝ้าบ้าน’**ทั่วไป ที่ยืนอยู่บนหลักของจรรยาบรรณวิชาชีพ หรือมีวาระอื่นใดแฝงเร้นซ่อนอยู่ด้วย
ทั้งนี้ เนื่องจากเนื้อหาที่นำเสนอนั้น เป็นเรื่องการเมืองล้วน ๆ ที่มีฝายได้และฝ่ายเสีย โดยเฉพาะคนอยู่ในคลิปมีแต่เสียกับเสีย และที่สำคัญข่าวที่เกิดขึ้นไม่ใช่เหตุบังเอิญ ไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ แต่ค่อนไปทางจัดฉากเสียมากกว่า
เพราะเนื้อหาในคลิปเสียงเป็นเรื่องเก่าเรื่องเดิมที่ถูกขุดออกมาเปิดโปงในช่วงเวลานี้ ซึ่งเป็นจังหวะคาบเกี่ยวกับหลายเหตุการณ์ ที่หากจะบอกเป็นความบังเอิญ ก็คงเป็นการ ‘บังเอิญอย่างร้ายกาจ’
หนึ่ง เป็นช่วงที่ ‘ผู้กอง’ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ สำคัญตัวเองว่าเป็นรัฐมนตรีอยู่ และนำ 3 รัฐมนตรีใหม่ในกระทรวงเกษตรฯ ที่ผ่านการเข้าเฝ้าถวายสัตย์แล้ว ไปตรวจสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคกลาง ในความหมายของการส่งมอบงานนอกสถานที่ และเห็นว่า 3 รัฐมนตรีใหม่ ยังไม่สามารถสั่งงานได้
ต้องรอให้รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสียก่อน!!
ในห้วงเวลาที่ ร.อ.ธรรมนัส กำลังหาทางเด้งเชือกออกจากมุมกฎหมาย ที่ถูกเหล่านักวิชาการ นักการเมือง กางรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 วรรคสอง ยืนยันกฎหมายได้ให้อำนาจสั่งการกับรัฐมนตรีใหม่หลังเข้าเฝ้าถวายสัตย์เอาไว้แล้ว
เมื่อคลิปเสียงปริศนาชุดแรก จำนวน 4 คลิป ถูกปล่อยออกมาก็ดึงความสนใจไปจากเรื่องของผู้กองทันที
สอง คลิปเสียงที่ถูกปล่อยออกมา ยังมีผลไป ‘เบียดพื้นที่ข่าว’ การแถลงนโยบายของรัฐบาล ที่กำลังตกเป็นเป้าถล่มของฝ่ายค้าน แถมยังมีคลิปที่ 5 ตามมาติดๆ และอาจถูกปล่อยออกมาเพิ่มอีกเป็นระรอกหาก ‘ไพบูลย์ นิติตะวัน’ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ไม่ออกมาเบรคเกมเสียก่อน
ด้วยการประกาศฟ้องหมิ่นประมาทผู้เกี่ยวข้องทั้งต่อศาลอาญาและศาลแพ่ง เรียกค่าเสียหาย จำนวน 50 ล้านบาท แถมงัดเอาประกาศ คมช.สมัย **‘บิ๊กบัง’**พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน มาเอาผิดเรื่องดักฟังโทรศัพท์ด้วย
สาม การนำคลิปเสียงเปลือยการเมือง ออกมาตีแผ่ครั้งนี้ ทำให้ปฏิบัติการนิติสงครามจากบ้านป่า มีอันต้อง ‘สะดุด’ หัวทิ่มหัวตำ เสียขบวน เสียรังวัด เสียหน้า ถูกทำลายความน่าเชื่อถือลงไปเกือบจะสิ้นเชิง
ต้องมาเริ่มตั้งลำจัดทัพกันใหม่ในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา
จากเหตุผลทั้งสามข้อที่ว่ามา จึงทำให้ปฏิบัติการ ‘ข่าวจิ้มข่าว’ สร้างข่าวใหม่กลบข่าวเก่าของฝ่ายการเมืองหนนี้ อาจถูกมองเป็นปฏิบัติการร่วมที่มีสื่อเข้าไปอยู่ในสมการด้วย ส่วนจะเป็นเพียงแค่การทำหน้าที่นำเสนอข่าวปกติธรรมดา ที่หมิ่นเหม่ต่อการตกเป็นเครื่องมือ หรือมีอะไรที่เกินเลยไปมากกว่านั้น
เบื้องต้นสื่อที่นำเสนอข่าวนี้ คงตระหนักรู้แบบเกิดพุทธิปัญญาให้คำตอบกับตัวเองได้ว่าเส้นแบ่งอยู่ที่ตรงไหน?!
ส่วนสาธารณะชนทั่วไป ต้องรอพิสูจน์ทราบจากผลคดีที่ผู้เสียหายจะนำขึ้นสู่ศาลว่าคำตอบจะออกมาเป็นอย่างไร แม้จะต้องใช้เวลาอีกนานก็ตาม
แต่นาทีนี้หากคลิปที่ถูกเปิดออกมาเป็นการเปลือยการเมือง การนำเสนอข่าวแบบไต่เส้นจรรยาบรรณของสื่อ ก็หมิ่นเหม่ที่สื่อเองอาจถูกเปลือยไปพร้อมกันด้วยในสงครามคลิปครั้งนี้