การเลื่อนลงมติรับหรือไม่รับคดี**ฮั้วเลือกสว.**ไว้เป็นคดีพิเศษของคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) เมื่อวาน (25 ก.พ.68) หลังใช้เวลาหารือนานกว่า 3 ชั่วโมง แต่ไม่มีคำตอบ จึงทำให้เกิดคำถามตามมามากมาย
แม้รองนายกฯ ภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะประธาน กพค.จะหนีบสองทหารเสือ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ซึ่งอยู่ในฐานะรองประธาน กพค.และ พ.ต.อ.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เลขานุการ กพค.มาร่วมแถลงถึงเหตุผลการเลื่อนใน 3 ประการหลัก ๆ คือ
ประการแรก จะมีการเชิญ อิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.มาประชุมร่วมกันในวันที่ 5 มีนาคมนี้ก่อน เพื่อหาข้อสรุปว่า กกต.จะรับดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวกับ พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 หรือไม่อย่างไร
ประการที่สอง ที่ประชุมมีความเห็นที่หลากหลายในการพิจารณา ซึ่งส่วนใหญ่เห็นว่า เป็นความผิดในคดีอาญา เข้าข่ายข้อกฎหมายเกี่ยวกับการฟอกเงิน อั้งยี่ ซ่องโจร แต่ยังมีปัญหาที่เป็นข้อถกเถียงให้รอบคอบ เนื่องจากมีคดีเรื่องเลือกตั้ง ซึ่งยังไม่ได้รับความชัดเจนจากกกต.เป็นเพียงหนังสือที่ส่งมาจากเลขาธิการกกต.ไม่ใช่มติของคณะกรรมการ กกต.
ประการที่สาม ต้องดำเนินการเรื่องนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อให้สิ้นข้อสงสัย ไม่มีปัญหาต้องมาชี้ว่ากระบวนการเป็นอย่างไร และคนที่แจ้งมาเป็นเพียงระดับเลขาฯ ไม่ใช่ตัวแทนกรรมการกกต.โดยตรง ซึ่งเกรงว่าจะไม่รอบคอบหรือมีปัญหาได้ ที่ประชุมจึงให้ไปดำเนินการให้ครบถ้วน
“ครั้งนี้เลขาฯ พิจารณาให้เป็นคดีเร่งด่วน จึงนำเข้ามาพิจารณาใน กคพ.แต่มีเสียงโต้แย้งบางส่วนว่า ไม่ผ่านกระบวนการที่มีอนุกลั่นกรองมา ถึงแม้ว่าอธิบดีดีเอสไอในฐานะเลขานุการ กคพ.จะชี้แจงว่า สามารถทำได้ แต่เนื่องจากมีความไม่ชัดเจน และเป็นคดีใหญ่ สังคมจับตาและคนสนใจ เราจึงอยากทำให้เรื่องนี้ชัดเจน โปร่งใส ครบถ้วนและรวดเร็วจึงมีมติให้ถอน
เพื่อไปให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองของดีเอสไอ ไปดำเนินการพิจารณาให้ครบถ้วนตามขั้นตอน โดยขอเวลาประมาณ 1 อาทิตย์ เพื่อไม่ให้สังคมรู้สึกว่าเรายื้อหรือไม่อยากทำ ไม่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องและเป็นไปตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย จึงให้เรื่องไปที่คณะอนุกรรมการกลั่นกรอง เพื่อให้กรรมการสบายใจ ถูกต้องตามกระบวนการ ไม่มีข้อโต้แย้ง" ประธานกพค.ร่ายยาวมาแบบนี้
นั่นคือ ให้เลื่อนการมีมติรับหรือไม่รับเป็นคดีพิเศษออกไปก่อน เพื่อรอหารือกับประธาน กกต.ในวันที่ 5 มีนาคม 2568 จากนั้น จะประชุมกคพ.อีกครั้งในวันที่ 6 มีนาคม 2568 โดยเชิญประธานกกต.หรือผู้แทนที่มีอำนาจในนามคณะกรรมการกกต.มาเข้าร่วมประชุมด้วย และให้ได้ข้อยุติในวันนั้น
"เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่า คดีเลือกตั้ง กกต.จะทำหรือไม่ทำ เราก็จะถามให้ชัดเจนว่าท่านจะเอาเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกกต.ไปทำ หรือจะให้เราทำในคดีเลือกตั้งด้วย ถ้าให้เราทำ เราพร้อมทำทั้งหมด ถ้าขอเอาคดีเลือกตั้งไปทำเอง เราก็จะขอเอาคดีอาญาที่เกี่ยวข้องมาดำเนินการเอง" ประธานกพค.ย้ำ พร้อมกับถามใจกกต.จะเอาอย่างไร
สุดท้ายประธาน กพค.สำทับในเรื่องอำนาจอีกว่า ประเด็นข้อกฎหมายที่ว่าอำนาจเป็นของใคร ที่ประชุมส่วนใหญ่เห็นว่า เมื่อเราเห็นว่ามีปัญหาและประชาชนสนใจ และมีข้อมูล รวมถึงการใช้ดุลพินิจของดีเอสไอที่ทำงานมา เกิดความชัดเจนว่าเรื่องนี้มีมูลอย่างไร และเรื่องนี้เกี่ยวกับสถาบันของชาติ คือ สถาบัญนิติบัญญัติ เราจึงใช้อำนาจอย่างระมัดระวัง ไม่ใช่ใช้อำนาจของฝ่ายบริหารไปแทรกแซง
ย้อนดูเหตุผลการเลื่อนชี้ขาดรับหรือไม่รับเป็นคดีพิเศษกันไปเต็ม ๆ แล้ว น่าจะพอเห็นภาพได้บ้างว่า ตกลงการออกตัวแรงชนิดล้อฟรีของฝ่าย ในช่วง 4-5 วันก่อน จนฝ่าย "มุมน้ำเงิน" นั่งไม่ติด ถึงขนาดต้องชักธงรบกันนั้น
พอลงเอยแบบนี้ ก็ต้องเกิดปุจฉาว่า มันเกิดอะไรขึ้นระหว่าง "เกี๊ยเซียะ-พักรบรอเจรจา-มวยล้ม" ?!
ไม่น่าจะเป็นปัญหากำกวมเรื่องข้อกฎหมายหรือขั้นตอนตามที่วิสัชชนาไว้
เพราะเป็นการส่งลูกกลับไปที่ กกต.ใหม่ และมีข้อจำกัดจำเขี่ยขอความชัดเจนเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับคดีเลือกตั้งเท่านั้น ว่ากกต.จะรับไปทำเองหรือไม่ เนื่องจากที่ส่งมาครั้งแรกเป็นเพียงระดับเลขาฯ ไม่ใช่ กกต.โดยตรง
แถมในชั้นดีเอสไอเอง ก็ไม่ได้ผ่านอนุกลั่นกรองมา จึงต้องไปดำเนินการให้ครบถ้วนตามขั้นตอนเสียก่อน!!
ทุกอย่างจากเร่งรีบ ถูกส่งกลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง งานนี้สงครามจึงยังไม่จบ ต้องอรอดูวันที่่ 6 มีนาคมนี้อีกทีว่า กพค.จะไปต่ออย่างไร
ส่วนใครเป็นฝ่ายซื้อเวลา ใครเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ และใครที่ถูกลดทอนความขลังลง คงสุดแท้แต่ว่าจะมองจากมุมไหน แต่ที่แน่นอนคือ "แดง-น้ำเงิน" ยังไม่แตกหัก ยังประนอมอำนาจ ยืดอายุรัฐบาลนายกฯ คุณหนู ให้อยู่ต่อไปได้
อยู่กันแบบครม.อเมริกันแชร์ เหมือนดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาลเมื่อคืนที่ผ่านมานั่นแหล่ะ!!